มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงขยายผลความสำเร็จตำราสมเด็จย่า  สู่บทบาทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนตอบโจทย์เป้าหมายโลก

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า จากสภาวะอากาศโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงสู่ภาวะโลกร้อนหรือโลกเดือด  ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจก และการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน  โดยสหประชาชาติ (UNSDGs)มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero )ในปี 2025  เป้าหมายการหยุดยั้งการสูญเสียและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของโลกภายในปี 2030 และแรงขับดันในเรื่องของESG   ส่งผลให้การทำธุรกิจของเกือบทุกหน่วยงานในประเทศไทยและระดับโลกมุ่งสู่การพัฒนาหาแนวทางปฏิบัติเพื่อปรับองค์กรไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ซึ่งจากประสบการณ์ 36 ปีของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงกับการทำงานในโครงการพัฒนาดอยตุง(พื้นที่ทรงงาน)อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย  ตามแนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า”  เรื่องการปลูกคน ปลูกป่า พัฒนาคนและสิ่งแวดล้อมจนประสบความสำเร็จ รวมถึงการเก็บข้อมูลตลอดระยะเวลาดังกล่าวสามารถทำให้มูลนิธิฯมีความพร้อมที่จะขยายหน่วยธุรกิจไปสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน

“เรามั่นใจเรื่องตำราแม่ฟ้าหลวง และศักยภาพของบุคลากรของมูลนิธิฯที่มีประสบการณ์การทำงานในหลายพื้นที่ที่มูลนิธิฯดูแล อาทิ โครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ เช่นโครงการร้อยใจรักษ์  อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ที่ปรับให้เกษตรกรที่จากเดิมมีอาชีพค้ายาเสพติดมาเป็นการทำการเกษตร โครงการการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับ 281 ชุมชนในระยะเวลาโครงการตั้งแต่ปี 2564-67 กว่า 1.1 แสนไร่และเป้าหมายปี 68 อีก 1.5 แสนไร่ กับประชาชนในพื้นที่ป่าชุมชนทั่วประเทศกว่า 1.5 แสนคน  ทั้งนี้โครงการพัฒนาดอยตุงที่สมเด็จย่าได้ทรงริเริ่มนั้นปัจจุบันปี 2567  ประชาชนในพื้นที่ดอยตุงมีรายเฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้น 24 เท่าของรายได้ปี 2531  รายได้ร่วมต่อปี 1,146  ล้านบาท  รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 576,838 บาท มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ 1.6 เท่า  มูลค่าเงินออมเพิ่มขึ้น75%  ที่สำคัญจากการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ คือความหลากหลายทางชีวภาพที่กลับคืนมาดอยตุงอย่างมีนัยสำคัญจากการพบพันธุ์พืชและสัตว์ชนิดใหม่ๆของโลก ”ม.ล.ดิศปนัดดากล่าว

ดังนั้นเมื่อโลกตั้งเป้าด้านความยั่งยืนและหาแนวทางปฏิบัติ  ประกอบกับแรงผลักดันเรื่อง ESG  ประเทศไทยและทุกประเทศต้องมีการปรับตัว และจากการคาดหวังของนักลงทุนที่คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนในบริษัทที่ทำ ESG จะเติบโตถึง 460.92%  ขณะที่ผู้บริโภค60% ยอมจ่ายแพงขึ้นสำหรับสินค้าที่คำนึงถึง ESG   และ50% ของบริษัทชั้นนำทั่วโลกกำหนดเป้าหมาย Net Zero  และบริษัทชั้นนำจะใช้เกณฑ์ด้านความยั่งยืนในการคัดเลือกคู่ค้า  แต่ทั่วโลกยังขาดตัวอย่างการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมในหลายมิติและเห็นผลลัพธ์ชัดเจน การดำเนินการของมูลนิธิฯ เป็นแบบอย่างที่หลายหน่วยงานให้ความสนใจ

ซึ่งมูลนิธิฯ มีความพร้อมที่จะนำองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนแบ่งปันให้กับภาคเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (last mile implementation solution) ผ่านการเป็นที่ปรึกษาเชิงปฏิบัติการโดยครอบคลุมประเด็น ดังนี้ 1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผ่านการวางแผนและทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ การทำระบบ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือการเรียกคืนบรรจุภัณฑ์ 2. ความหลากหลายทางชีวภาพและการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ ผ่านการประเมินและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ การปลูกป่าและฟื้นฟูป่า การจัดการน้ำ 3.การพัฒนาชุมชน ผ่านการทำความเข้าใจชุมชนและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การทำโครงการพัฒนาชุมชนเพื่อสร้างรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

Advertisement

“มูลนิธิฯ คาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรและสร้างความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อให้เกิดความยั่งยืนในองค์กร รวมทั้งการขยายผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างเพื่อช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมรวมถึงบรรเทาปัญหาของประเทศในด้านความเหลื่อมล้ำเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นตัวอย่างของการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของโลกที่ทุกวันนี้ธรรมชาติเริ่มเอาคืนจนเกิดภาวะโลกเดือด การแก้ไขจึงอยู่ในมือของทุกคนที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้” ม.ล.ดิศปนัดดากล่าว.

Advertisement