เผยแพร่ |
---|
ทุเรียนไทยป่วนอีก ทางการจีนตรวจพบสารย้อมสี Basic Yellow 2 สั่งตรวจทุเรียนไทยทุกล๊อตต้องแนบผลตรวจปลอดสาร ทั้ง Basic Yellow 2 และแคดเมียม หากพบระงับส่งออกทันที กรมวิชาการเกษตรเด้งรับ ส่งผลล้งภาคใต้หยุดซื้อกังวลขั้นตอนการตรวจแล็บล่าช้า จี้รัฐเร่งหามาตรการแก้ไขก่อนฤดูทุเรียนภาคตะวันออกลอตใหญ่ออก เผยเหตุใช้ Basic Yellow 2 เพราะจีนนิยมเปลือกสีเขียว มีคนจีนนำเข้ามาและรับจ้างชุบย้อม
รายงานข่าวจากกรมวิชาการเกษตรแจ้งว่า สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน(GACC) แจ้งพบปัญหาการใช้สารย้อมสี “Basic Yellow 2” ในทุเรียนส่งออก ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B จึงกำหนดให้ทุเรียนทุกลอตของไทยที่จะส่งออกจีนต้องแนบผลวิเคราะห์ Test Report ทั้ง Basic Yellow 2 และแคดเมียม ทุกลอต โดยจีนจะสุ่มตรวจที่ด่านนำเข้า หากพบจะระงับทันที มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
เกษตรออกประกาศคุมใช้สาร
ล่าสุด นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ออกประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่องมาตรการควบคุมการปนเปื้อนสาร ห้ามใช้ในทุเรียนผลสดส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 เป็นต้นไป สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) กรณีที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต ต้องใช้ทั้งชนิดและปริมาณที่ถูกต้อง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือข้อกำหนดของประเทศคู่ค้า
(2) กรณีตรวจพบโรงคัดบรรจุใช้สารห้ามใช้หรือมีสารห้ามใช้ไว้ในครอบครอง จะถูกระงับการส่งออกและนำไปสู่การยกเลิกหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืชก็ได้ และ (3) กรณีเจ้าหน้าที่สงสัยว่าทุเรียนมีการใช้สารห้ามใช้ ให้มีอำนาจสั่งให้โรงคัดบรรจุนำผลทุเรียนนั้นไปตรวจวิเคราะห์กับห้องปฏิบัติการ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาออกใบรับรองสุขอนามัยพืช
ล้งตั้งตัวไม่ทันหยุดซื้อ 5 วัน
หลังเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น เจ้าของล้งส่งออกรายใหญ่ใน จ.ชุมพร เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ได้รับแจ้งข่าวการตรวจสอบสารตกค้าง Basic Yellow 2 เพิ่มเติมจากสารแคดเมียม เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 10 ม.ค. ทำให้ไม่ทันตั้งตัวและยังไม่มีความชัดเจน เกรงว่าถ้าส่งออกไปจะมีปัญหาจากการถูกตรวจที่ด่านและถูกระงับการส่งออก
จึงประกาศปิดการรับซื้อชั่วคราว 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 8-12 ม.ค. และมีหลาย ๆ ล้งต่างหยุดซื้อเช่นเดียวกัน ต้องรอความพร้อมของกรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะการหาค่ามาตรฐานการตกค้างของ Basic Yellow 2 เสียโอกาสขายช่วงตรุษจีน
ช่วงนี้ใกล้เทศกาลตรุษจีน (วันไหว้ 28 ม.ค. 68) ทุเรียนราคาแพง เกรด AB กก.ละ 230-240 บาท ส่งออกตู้ละ 3 ล้านบาท ผู้ประกอบการไม่กล้าเสี่ยง ส่วนชาวสวนอาจขายไม่ได้ราคาสูง แต่เป็นจังหวะทุเรียนทวายภาคใต้มีผลผลิตน้อยส่งออกได้ไม่เกิน 10 ตู้ เกรงว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลทุเรียนภาคตะวันออก ปริมาณผลผลิตทุเรียนออกสู่ตลาดมาก ๆ
เช่น ที่ จ.จันทบุรี ล้งทำกันวันละ 500-600 ตู้ การตรวจสอบและผลจากห้องแล็บจะใช้เวลานาน ปกติตรวจแคดเมียมใช้เวลา 3 วัน ถ้าตรวจ Basic Yellow 2 ไม่ทราบจะใช้เวลานานเท่าไร รวมถึงค่าตรวจ หากใช้เวลาตรวจรอผล 3 วัน ต้องหยุดซื้อ 4-5 วัน เพื่อเคลียร์หน้าล้ง ระบายตู้ออกไปก่อน ถ้าต้องรอนานเกิน 7 วัน ผลผลิตคุณภาพเสียหายแน่นอน เพราะระยะเวลาการขนส่งปกติทางบก 7 วัน รวมถึง 14-15 วัน จริง ๆ แล้วผู้ประกอบการทุกล้งพร้อมให้ความร่วมมือ แต่ขอให้มาตรการมีความชัดเจน”
จับตาความชัดเจนมาตรการรัฐ
แหล่งข่าวจากล้งทุเรียนรายหนึ่งกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงนี้เป็นโอกาสที่จะส่งออกทุเรียนได้ดี เพราะใกล้ตรุษจีน ตลาดมีความต้องการราคาทุเรียนสูง ราคาตก กก.ละ 220-230 บาท แต่เกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลง การส่งออกต้องมีผลตรวจ Basic Yellow 2 ทำให้ต้องรอดูมาตรการในทางปฏิบัติของภาครัฐที่จะออกมาให้ชัดเจนก่อน จึงต้องหยุดรับซื้อและหยุดตัดทุเรียนในสวน
เพราะการนำทุเรียนมาเก็บในโกดังหรือห้องเย็น ต้องใช้จ่ายค่าไฟตู้ละ 3,000 บาท และปกติทุเรียน 1 ตู้ ราคา 3-4 ล้านบาท จะมีกำไรเฉลี่ยเพียง 50,000 บาทต่อเที่ยว ส่วนที่เหมาสวนไว้ต้องยืดระยะเวลาออกตัดไป ชาวสวนอาจจะเสียหายหากทุเรียนแก่จัด
เผยต้นตอย้อม Basic Yellow
ด้านนายสัญชัย ปุรณะชัยคีรี นายกสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย เปิดเผยถึงที่มาของการใช้สาร Basic Yellow 2 ในน้ำยาชุบทุเรียนว่า เริ่มจริงจังเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เดิมใช้สีผสมอาหารหรือขมิ้นให้เปลือกเป็นสีเหลือง ไม่มีอันตราย แต่เมื่อความนิยมคนจีนชอบเปลือกสีเขียว จึงนำสาร Basic Yellow 2 เข้ามาใช้ในล้ง โดยมีคนจีนนำเข้ามาและรับจ้างชุบสีให้ล้งต่าง ๆ ตู้ละ 12,000-15,000 บาท โดยที่เจ้าของล้งไม่รู้ว่าใช้สารที่เป็นอันตราย กระทั่งทุเรียนส่งออกไปจีนถูกตรวจสอบและจับได้
ในเมื่อเป็นสารอันตราย องค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B หน่วยงานของรัฐต้องรีบออกมาตรการที่เด็ดขาดให้เลิกใช้ทันที หากมีการฝ่าฝืนต้องกำหนดบทลงโทษจำคุก และเพิกถอนการขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืช (DOA) และทะเบียนผู้ส่งออก (DU) และแบรนด์สินค้า
วอนเร่งเจรจาไทย-จีน
“ก่อนหน้านี้มีการตรวจสอบสารโลหะหนักแคดเมียมในดิน ในน้ำไม่พบ แต่เจอแคดเมียมในทุเรียนที่มีการชุบน้ำยา แต่ไม่เกินค่ามาตรฐาน การห้ามไม่ให้นำสาร Basic Yellow 2 มาใช้ทันที แต่การที่ประกาศให้มี Test Report ในการส่งออกทุกลอตตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. ไม่น่าจะทำได้ และทำไม่ทัน”
ควรต้องเจรจากันระหว่างไทยและจีน และต้องรีบดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น วิธีการตรวจหามาตรฐานของ Basic Yellow ต้องชัดเจน ห้องแล็บต้องเพียงพอ การเตรียมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการส่งออก ช่วงเวลานี้เหมาะที่สุดเพราะทุเรียนยังมีปริมาณน้อย เดือนเมษายน 2568 ทุเรียนภาคตะวันออกจะออกมาวันละ 500-600 ตู้ ห้องแล็บจะเพียงพอและพร้อมให้บริการหรือไม่ หากใช้ระยะเวลานานจะกระทบกันเป็นลูกโซ่
ไม่รู้ห้องแล็บใช้เวลาตรวจกี่วัน
นายวุฒิชัย คุณเจตน์ นายกสมาคมทุเรียนไทย กล่าวว่า ปี 2568 GACC แจ้งให้ผู้ส่งออกต้องตรวจสาร 2 ตัว คือ แคดเมียม และ Basic Yellow 2 ซึ่งการตรวจ Basic Yellow 2 ครอบคลุมขมิ้นที่ใช้ชุบผลทุเรียนด้วยหรือไม่ เพราะยังมีใช้กันอยู่ เคยมีประเด็นการตรวจห้องแล็บสารทั้ง 2 ชนิด จะมีผลกระทบเรื่องเวลาและค่าใช้จ่าย แคดเมียม 3 วัน Basic Yellow 2 ยังไม่ทราบ
โดยเฉพาะภาคตะวันออกมีปัญหาโลจิสติกส์อยู่แล้ว และมาตรฐานห้องแล็บของไทย-จีน จะมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ รวมทั้งห้องแล็บที่ให้บริการมีความพร้อมหรือเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะช่วงทุเรียนภาคตะวันออกมีปริมาณชิปเมนต์ 500-600 ชิปเมนต์/วัน
แนะแบนใช้ Basic Yellow 2
“การตรวจ Basic Yellow 2 มีผลกับการส่งออกในวันที่ 10 ม.ค. 68 ทันที ผู้ส่งออกตื่นตัวกันมาก หยุดการซื้อ การส่งออก รอดูความชัดเจน ทุกคนรอ ไม่มีใครกล้าส่งออก เพราะทุเรียนราคาสูง ถ้าเสียหาย 1 ตู้ ประมาณ 4 ล้านบาท หากการตรวจมีผลกระทบดังกล่าว ต้องเจรจากับจีน เสนอแนวทาง หลักการ ขั้นตอนที่ไม่ต้องตรวจให้จีนยอมรับ”
เช่น การยกระดับสวนที่ทำ GAP ให้มาตรฐานมีการตรวจดิน น้ำ ปัจจัยการผลิต ผู้ประกอบการรับทุเรียนจากสวนที่ไม่มีแคดเมียม ส่วน Basic Yellow 2 ห้ามใช้เด็ดขาด ไม่ต้องตรวจ ถ้าตรวจพบแบน เพื่อไม่ให้การตรวจกระจุกตัวตอนเก็บเกี่ยว วางแผนห้องแล็บที่ให้บริการ/วัน
ที่มา : ประชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/local-economy/news-1732183