เกษตรอินทรีย์ยุค 2025 สร้างอนาคตยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันกระแสการรักษาสุขภาพและความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมกำลังขยายตัวไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย แนวโน้มดังกล่าวได้ส่งผลให้ เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) กลายเป็นหนึ่งในรูปแบบการเกษตรที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2025 เพราะสินค้าเกษตรอินทรีย์ไม่เพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในเรื่องความปลอดภัยและมีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ในตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องอีกเช่นกัน

การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การเพาะปลูกพืช เช่น ข้าว ผัก หรือผลไม้เท่านั้น  แต่ยังครอบคลุมไปถึงการเลี้ยงสัตว์อินทรีย์ เช่น ไก่ไข่อินทรีย์ นมออร์แกนิก กุ้งอินทรีย์ และปลากะพงอินทรีย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในระบบการจัดการทั้งหมด

รศ.ดร.เกษม สร้อยทอง อาจารย์ประจำ สถาบันวิจัยเกษตรอินทรีย์ยุคคใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และนายกสมาคมเทคโนโลยีการเกษตรแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Agricultural Technology in Southeast Asia, AATSEA)
รศ.ดร.เกษม สร้อยทอง อาจารย์ประจำ สถาบันวิจัยเกษตรอินทรีย์ยุคคใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และนายกสมาคมเทคโนโลยีการเกษตรแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Agricultural Technology in Southeast Asia, AATSEA)

รศ.ดร.เกษม สร้อยทอง อาจารย์ประจำ สถาบันวิจัยเกษตรอินทรีย์ยุคคใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และนายกสมาคมเทคโนโลยีการเกษตรแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Agricultural Technology in Southeast Asia, AATSEA) เป็นอีกหนึ่งผู้เชี่ยวชาญทางเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งได้สร้างนวัตกรรมที่สำคัญสำหรับเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่คือ ผลงานวิจัยปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์ มาทดแทนสารดคมีการเกษตรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์ สูตรต่างๆ คีโตเมี่ยม (Chaetomium) ป้องกันและกำจัดโรคพืช และนาโนวัคซินพืช เป็นต้น

งานวิจัยด้านนี้ รศ.ดร.เกษม เริ่มทำตั้งแต่ปี 2529 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน และยังสามารถสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น นาโนอลิซิเตอร์ (Nanoelicitor) ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคในพืชผ่านเทคโนโลยีที่ซับซ้อน

จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป 

การใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ

Advertisement

รศ.ดร.เกษม เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานในแวดวงเกษตรว่า ไม่เพียงทำแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเดินทางไปในหลายประเทศทั่วโลก และยิ่งในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้เห็นว่าการปลูกพืชและการเกษตรกรรมกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งต่างกว่าสมัยก่อนที่การเกษตรอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่เรียบง่าย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย แต่ในปัจจุบันสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่จะทำให้พืชผลบางชนิดเจริญเติบโตได้ยากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเพาะปลูกในหลายพื้นที่ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ เกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญต่างตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมในการทำเกษตร

Advertisement

“จากที่ผมได้ลงไปทำงานภาคสนามทางการเกษตรในหลายประเทศ ทำให้เห็นไดัด้วยว่า ปัจจุบันสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไปมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มันทำให้เกิดผลกระทบต่อการปลูกพืช ไม่ว่าจะเป็นระบบโลกที่ร้อนขึ้น รวมไปถึงสารพิษที่ตกค้างในดินในน้ำในอากาศ รวมไปถึงอุตสาหกรรมต่างๆ ทางการเกษตรที่มีสารพิษตกค้าง ผลกระทบตรงนี้จึงเกี่ยวกับมนุษย์เมื่อไปบริโภคผลผลิตที่มีสารพิษตกค้าง จึงทำให้มนุษย์มีอายุสั้นลง ผู้บริโภคจึงปรับเปลี่ยนการกินบริโภคกันมากขึ้น”

การใช้ทรัพยากรอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด 

ช่วยให้เกิดความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อม 

รศ.ดร.เกษม กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรที่สามารถรักษาความสมดุลระหว่างการผลิตและการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดทรัพยากร เช่น การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการใช้สารเคมี นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีเกษตรที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศและปรับวิธีการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

การทำเกษตรในยุคปัจจุบันไม่เพียงแค่เกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม การลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้เกษตรกรรมยังคงยั่งยืนในระยะยาว นี่คือเหตุผลที่ทำให้ รศ.ดร.เกษมเชื่อมั่นว่าการรักษาความสมดุลระหว่างการผลิต และการดูแลสิ่งแวดล้อมจะเป็นกุญแจสำคัญในการเผชิญกับความท้าทายในอนาคตของเกษตรกรทั่วโลก

“เพราะว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมากนี่เอง จึงทำให้การทำเกษตรในปัจจุบันไม่ใช่แค่การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับตัวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและการสร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆ ที่มีความยั่งยืนและเหมาะสมกับทุกสภาพแวดล้อม เพื่อให้การเกษตรยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในอนาคต”

เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน หรือได้รับผลกระทบ

การผลิตอย่างยั่งยืนและการฟื้นฟูดินเป็นสิ่งสำคัญ

รศ.ดร.เกษม กล่าวอีกว่า เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป หรือได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้สารเคมีเกินจำเป็น การตัดไม้ทำลายป่า หรือภาวะโลกร้อน ผลที่ตามมาคือทรัพยากรดินเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ดินที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นดินเสื่อมสภาพ ขาดสารอาหารและไม่สามารถผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การผลิตอย่างยั่งยืนและการฟื้นฟูดินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เกษตรกรและสังคมต้องให้ความสนใจ เพราะดินเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่ใช้ในการผลิตอาหาร แต่การใช้ดินอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้ดินเสื่อมโทรมเร็วขึ้น เช่น การปลูกพืชเชิงเดี่ยวต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่พักดิน การใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไปทำให้จุลินทรีย์ในดินลดลง และการไถพรวนอย่างหนักส่งผลให้โครงสร้างของดินถูกทำลาย เมื่อดินเสื่อมโทรม เกษตรกรต้องเผชิญกับผลผลิตที่ลดลง ต้นทุนที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ

แนวทางการผลิตอย่างยั่งยืน

  1. การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยพืชสด – ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มอินทรียวัตถุ และลดการใช้สารเคมี
  2. การปลูกพืชหมุนเวียน – ลดปัญหาการสะสมโรคและศัตรูพืช และช่วยให้ดินได้รับธาตุอาหารที่สมดุล
  3. การใช้ระบบเกษตรเชิงนิเวศ (Agroecology) – เป็นการผสมผสานการปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ และการอนุรักษ์ระบบนิเวศให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
  4. การลดการไถพรวน (No-Till Farming) – รักษาโครงสร้างดิน ลดการชะล้าง และเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำ
  5. การอนุรักษ์น้ำและความชื้นในดิน – ใช้วิธีคลุมดินและปลูกพืชปกคลุมเพื่อลดการระเหยของน้ำและป้องกันการพังทลายของดิน

“สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและปัญหาดินเสื่อมโทรมเป็นภัยคุกคามต่อการเกษตร แต่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยแนวทางการผลิตที่ยั่งยืนและการฟื้นฟูดินอย่างเหมาะสม เกษตรกร นักวิจัย และภาครัฐควรร่วมมือกัน เพื่อสร้างระบบการเกษตรที่ยั่งยืน ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งต่อดินที่อุดมสมบูรณ์ให้กับคนรุ่นต่อไป เพราะในท้ายที่สุด ดินที่ดีคือรากฐานของอาหารที่ดี และอาหารที่ดีคือรากฐานของชีวิตที่มั่นคง”

ความพร้อมของเกษตรกร คือใจที่มุ่งมั่น

เพื่ออนาคตสดใสของเกษตรอินทรีย์

รศ.ดร.เกษม กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงสู่เกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ ท่ีสามารถพิสูจน์เชิงวิยาศาสตร์ได้ คุณภาพและปริมาณผลผลิตไม่ต่างจากเคมี  เริ่มต้นที่ “ใจ” ของเกษตรกร การยอมรับและปรับตัวเพื่อลดการใช้สารเคมีในทุกกระบวนการผลิตเป็นกุญแจสำคัญซึ่งการสนับสนุนจากสถาบันต่างๆ เช่น สถาบันเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการพัฒนานวัตกรรม และการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกษตรอินทรีย์ในปี 2025 จะไม่เพียงเป็นวิถีเกษตรที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค แต่ยังสร้างความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่เกษตรกรไทยควรจับตามอง

“การทำเกษตรอินทรีย์ผลผลิตมีคุณภาพไม่แพ้เคมี ถึงจะจำหน่ายในตลาดที่ราคาปกติ เกษตรกรบางรายก็ไม่กลัว เพราะต้นทุนการผลิตจะต่ำกว่าเคมี ผมถึงบอกว่าถ้าตั้งใจทำสำเร็จแน่นอน”

สำหรับท่านใดที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกษตรอินทรีย์ สามารถติดต่อได้ที่ สถาบันเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร หมายเลขโทรศัพท์ 081-870-7582