Superfood อนาคตของการกินเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน ที่โลกกำลังจับตา

ในยุคที่ผู้คนหันมาสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น การเลือกบริโภคอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อร่างกายกำลังเป็นกระแสที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว “Superfood” หรืออาหารแห่งอนาคต ได้รับความนิยมจากทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากลักษณะเด่นที่มีสารอาหารเข้มข้นที่ส่งเสริมการรักษาสุขภาพ รวมถึงการช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาหารประเภทนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่ยังสามารถทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม

การบริโภค Superfood ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของเรา แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้น้ำ และส่งเสริมระบบนิเวศในพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ การสนับสนุน Superfood จากแหล่งพื้นเมืองยังช่วยสร้างรายได้และพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกล

หนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่กำลังได้รับความสนใจและเป็นที่จับตามองอย่างมากในปัจจุบัน คือ “ไข่ผำ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงในการตอบโจทย์ทั้งในด้านโภชนาการและความยั่งยืนในระยะยาว

ผศ.ดร.อารักษ์ ธีรอำพน อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส.
ผศ.ดร.อารักษ์ ธีรอำพน อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส.

ผศ.ดร.อารักษ์ ธีรอำพน อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. เผยว่า “ไข่น้ำ” หรือ “ไข่ผำ” (Wolffia) กำลังได้รับความสนใจในฐานะ Future Food หรืออาหารแห่งอนาคต เพราะเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยมและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

จุดเริ่มต้นที่ได้มาทำงานวิจัยไข่ผำ ได้รับโจทย์จากมหาวิทยาลัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ให้พัฒนาวิธีการเก็บรักษาไข่ผำให้คงทน และพัฒนาเนื้อหาทางโภชนาการให้ลึกยิ่งขึ้น เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว อาจารย์เองก็เพิ่งได้รู้จักกับ “ไข่ผำ” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อาจารย์สนใจศึกษาเกี่ยวกับพืชชนิดนี้มากขึ้น ระหว่างการพูดคุย อาจารย์ได้สอบถามว่า “เหตุใดถึงเลือกพืชชนิดนี้” พระองค์ท่านทรงตอบว่า ทรงต้องการให้เราช่วยอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากพืชท้องถิ่นของเรา ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าในท้องถิ่น คนสมัยก่อนมีความรู้ว่าพืชชนิดนี้สามารถนำไปทำอาหารได้ และยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่ามาก่อนหน้านี้แล้ว

ทุกวันนี้หลายคนเริ่มรู้จัก “ไข่ผำ” มากขึ้น หลายคนยังเข้าใจผิดว่าไข่ผำเป็นสาหร่าย แต่ความจริงแล้วมันคือพืชดอกที่เล็กที่สุดในโลก แม้จะออกดอกได้ แต่ดอกของมันหาดูได้ยาก เพราะต้องมีเงื่อนไขพิเศษถึงจะบาน แม้จะตัวจิ๋วแต่ไข่ผำอัดแน่นไปด้วยคุณค่ามหาศาล ไข่ผำในเมืองไทยจริงๆ มีมานานแล้ว เพียงแค่เรายังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านี้จะเห็นไข่ผำอยู่ในธรรมชาติตามแหล่งน้ำและถูกใช้ในวงแคบๆ แต่ในปัจจุบันไข่ผำเริ่มมีบทบาทสำคัญในสังคมไทยมากขึ้น

Advertisement

ซึ่งอาจารย์จะเรียกเขาว่า “สาวน้อยมหัศจรรย์” ถ้ามองในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการ โปรตีนก็เป็นสารอาหารที่เด่นมาก นอกเหนือจากโปรตีนแล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการตัวอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของพืชสังเคราะห์เคมี กลุ่มของไวตามินต่างๆ อย่างเช่น ไวตามิน 12 ปกติพืชอย่างอื่นเราจะไม่ค่อยเจอ แต่มาเจอใน “ไข่ผำ” ซึ่งก็มีประโยชน์ รวมไปถึงเบต้าแคลเลอทีน แล้วก็คลอโรฟิลล์ โอเมก้า3 โอเมก้า 6 ถึงจะตัวเล็กแต่มีของดีเต็มไปหมด อันนี้คือคุณค่าทางโภชนาการที่เด่นมาก

จุดเด่นของ “ไข่ผำ” คือ ย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว มีใยอาหารสูง แคลอรี่และไขมันต่ำ แต่ให้ไขมันดีมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ลดคอเลสเตอรอล ผู้ที่ย่อยโปรตีนจากสัตว์ไม่ได้ ผู้สูงวัยที่ต้องการโปรตีนเสริมเพื่อกล้ามเนื้อ และกลุ่มที่มีปัญหาระบบขับถ่าย เป็นต้น

Advertisement

ช่วงที่ “ไข่ผำ” เริ่มได้รับความสนใจอย่างมากเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่แนวคิดเรื่อง Future Food หรืออาหารแห่งอนาคตเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น ผู้คนเริ่มรู้จักคำว่า Functional Food และ Plant-Based Protein มากขึ้น ซึ่ง “ไข่ผำ” มีคุณสมบัติครบถ้วนตามแนวคิดเหล่านี้ ทั้งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย สมกับฉายา “สาวน้อยมหัศจรรย์” จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการวิจัยในหลายหน่วยงาน ความสนใจที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้มีการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการวิจัยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นตำแหน่งที่หาได้เพียงไม่กี่แห่งในโลก ลักษณะภูมิอากาศนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่ในประเทศไทยอุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในแง่ของสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณ ด้วยความอุดมสมบูรณ์นี้เอง ทำให้ประเทศไทยมีพืชท้องถิ่นหลากหลายสายพันธุ์ที่โดดเด่น หลายชนิดถูกนำมาชูเป็นจุดเด่นจนเกิดกระแสความสนใจในวงกว้าง

เมื่อมองในแง่ของวิกฤต จะพบว่าพืชบางชนิดที่เคยได้รับความนิยมในช่วงหนึ่งกลับค่อยๆ ล้มหายไป เนื่องจากถูกแทนที่ด้วยพืชชนิดอื่นหรือไม่สามารถพัฒนาไปต่อได้ในระยะยาว สำหรับ “ไข่ผำ” อาจารย์ไม่อยากให้พืชชนิดนี้กลายเป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่ต้องการผลักดันให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อคงคุณค่าและความสำคัญของมันไว้ในระบบนิเวศและการบริโภคต่อไปในอนาคต

ในปัจจุบัน การจะได้ “ไข่ผำ” จากธรรมชาติมารับประทานไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเพาะเลี้ยงเป็นหลัก ซึ่งในกระบวนการนี้มีการนำเทคโนโลยี Smart Farm เข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในกระบวนการผลิต ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัย รวมถึงการรักษาคุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำไว้ได้อย่างครบถ้วน เป้าหมายสำคัญคือการสร้างมาตรฐานที่ยั่งยืนสำหรับการผลิตและการบริโภคไข่ผำในอนาคต

เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

  1. เทคโนโลยีต้นทุนต่ำ เหมาะสำหรับการนำไปปรับใช้ในวิถีชีวิตของชาวบ้านหรือผู้ที่มีความคุ้นเคยกับการทำเกษตร โดยเน้นความเรียบง่ายและความคุ้มค่า
  2. เทคโนโลยีขั้นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนเมือง ซึ่งอาจไม่มีทักษะด้านการเกษตรเทียบเท่าชาวบ้าน แต่ต้องการระบบที่ใช้งานง่ายและสะดวก

แม้ทั้งสองกลุ่มจะมีระดับการใช้งานต่างกัน แต่เป้าหมายสำคัญยังคงเหมือนกัน นั่นคือการสร้างมาตรฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคมั่นใจในการนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน

การเลี้ยง “ไข่ผำ” ต้องเริ่มต้นจากการคำนึงถึงการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมและการรักษามาตรฐานการเพาะเลี้ยงอย่างเข้มงวด ตัวอย่างเช่น หากเลี้ยงในบ่อ ก็ต้องจัดการให้ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยจากเชื้อโรคและโลหะหนัก ที่สำคัญ หากมองในเชิงอุตสาหกรรม ฟาร์มที่ผลิตไข่ผำจะต้องสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในระยะยาว

จุดเด่นของฟาร์มต้นแบบ ที่แตกต่างจากฟาร์มสมัยก่อนยังไงบ้าง

จุดเด่นของฟาร์มต้นแบบเมื่อเทียบกับฟาร์มแบบดั้งเดิมอยู่ที่การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบอัตโนมัติ การจัดการทรัพยากรที่แม่นยำ และการควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม นอกจากนี้ ฟาร์มต้นแบบยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยทั้งในด้านสุขอนามัยและผลผลิต รวมถึงการออกแบบระบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งต่างจากฟาร์มสมัยก่อนที่อาศัยวิธีการแบบดั้งเดิมและพึ่งพาธรรมชาติมากกว่า

เทคโนโลยีที่ใช้ในการเลี้ยง “ไข่ผำ” เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีทางด้านประมงและการผลิตพืช โดยเลือกใช้เทคโนโลยีไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งเป็นวิธีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เราสามารถเลี้ยงพืชในน้ำได้และควบคุมการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการใช้ปุ๋ยที่สามารถควบคุมคุณภาพอาหารได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังได้นำเทคโนโลยีไฮโดรโปนิกส์แบบ Deep Flow Technique (DFT) มาปรับใช้ร่วมกับการเคลื่อนที่ของไข่ผำ เพื่อให้เกิดการเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนที่สองที่ได้นำมาใช้คือการเก็บเกี่ยว ซึ่งถ้ายังใช้แรงงานคนในการตักเก็บจะทำให้ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก เราจึงได้ออกแบบเทคโนโลยีในการเก็บเกี่ยวที่ช่วยลดการใช้แรงงานให้น้อยที่สุด โดยใช้ระบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ฟาร์มสาธิตของเราสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการหลายบ่อได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ทำให้การใช้เทคโนโลยีในการเก็บเกี่ยวมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในฟาร์ม

อีกหนึ่งจุดเด่นของฟาร์มเราคือสูตรอาหารที่ใช้ในการเลี้ยงไข่ผำ เพื่อให้ได้โปรตีนที่เสถียรและมีคุณภาพสูง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมาก หากต้องการนำไข่ผำไปบริโภค ต้องมั่นใจว่าไข่ผำมีปริมาณโปรตีนที่เพียงพอ ในฟาร์มทั่วไปอาจพบว่าโปรตีนต่ำ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ฟาร์มที่อาจารย์วิจัยขึ้นมา รับประกันว่าโปรตีนในไข่ผำจะสูงและมีความสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในอุตสาหกรรมอาหาร ที่ต้องทำการซื้อขายตามเปอร์เซ็นต์โปรตีน

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีในการปั่นหมาดหลังจากการเก็บไข่ผำมาแล้ว โดยปกติเมื่อใส่ถุงเสร็จแล้วจะวางไว้ แต่หากมีน้ำมากเกินไป จะทำให้ไข่ผำเน่าง่าย จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีในการปั่นหมาดเพื่อให้ไข่ผำแห้งเร็วขึ้น เมื่อไข่ผำแห้งก็จะสามารถเก็บรักษาได้นานเหมือนกับการนำไปอบแห้ง ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีอบแห้งที่เหมาะสม เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการและใช้พลังงานให้น้อยที่สุด กระบวนการทั้งหมดนี้รวม 4-5 เทคโนโลยีที่นำมาผสมผสานกัน จึงเรียกว่าเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปอย่างง่าย ซึ่งยังไม่มีฟาร์มอื่นที่ทำแบบนี้ และเราได้จัดทำเป็นฟาร์มสาธิต เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถจับต้องได้และนำไปใช้จริง

การเคลื่อนที่ของไข่ผำเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่มีการเคลื่อนไหวในช่วงที่ไข่ผำเติบโตจำนวนมาก พวกมันจะซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเน่าได้ ดังนั้นการเคลื่อนที่จึงมีบทบาทสำคัญในการขยับไข่ผำไปยังบริเวณที่มีช่องว่าง การใช้กังหันช่วยให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้การเก็บเกี่ยวรวดเร็วขึ้นอย่างมาก จากเดิมที่ต้องใช้แรงงานคนในการเก็บเกี่ยวนาน 1-3 ชั่วโมง แต่ด้วยเทคโนโลยีของเรา ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น

การเลี้ยงไข่ผำสามารถทำได้ในภาชนะหลายประเภท โดยการสร้างบ่อมีสองประเภทหลัก ๆ คือ

  1. บ่อจม คือ การขุดดินเพื่อสร้างบ่อเหมือนกับการทำบ่อเลี้ยงปลา
    • ข้อจำกัด การทำความสะอาดค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องเข้าไปทำความสะอาดในพื้นที่ที่อยู่ใต้ดิน
  2. บ่อลอย คือ บ่อที่ยกขึ้นมาจากพื้น เช่น การก่อซีเมนต์แล้วปูผ้าใบ
    • ข้อดี การจัดการและทำความสะอาดจะสะดวกและง่ายขึ้น เนื่องจากบ่ออยู่ในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย

ทั้งสองประเภทสามารถใช้ในการเลี้ยงไข่ผำได้ แต่แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ไข่ผำสามารถเพาะเลี้ยงในวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างบ่อ เช่น พลาสติก บ่อดิน หรือการก่ออิฐบล็อก วัสดุเหล่านี้มีหลายรูปแบบ แต่เป้าหมายหลักคือการกักน้ำโดยไม่ให้รั่วไหล ชนิดของบ่อไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงไข่ผำมากนัก สามารถเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับพื้นที่และความสะดวกของแต่ละสถานที่ได้

การนำ BCG Model มาใช้ในการจัดการน้ำมีเป้าหมายเพื่อประหยัดทรัพยากรโดยการใช้น้ำให้น้อยที่สุด  เช่น การจัดระบบบ่อพักน้ำเพื่อเก็บน้ำและนำกลับมาใช้ในรอบถัดไป การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดการใช้ทรัพยากร แต่ยังทำให้การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรฐานเพื่อให้กระบวนการนี้สามารถทำได้อย่างมีคุณภาพและมีความยั่งยืน

ขั้นตอนการเลี้ยงไข่ผำ

  1. เตรียมบ่อ หลังจากเตรียมบ่อเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ่อปูน บ่อพลาสติก บ่อผ้าใบ หรือบ่อดิน ก็จะเริ่มทำการปล่อยน้ำเข้าไปในบ่อที่กักเตรียมไว้
  2. เติมอาหาร ใส่อาหารลงในบ่อ ซึ่งอาหารในที่นี้จะเป็นปุ๋ยที่ละลายในน้ำ โดยแบ่งเป็นสองประเภทหลัก
    • ปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยเคมีทั่วไปหรือปุ๋ยไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งสามารถควบคุมปริมาณธาตุอาหารได้
    • ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์น้ำหรือปุ๋ยชีวภาพ ที่อาจมีจุลินทรีย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งสองประเภทสามารถใช้เป็นอาหารให้ไข่ผำได้ แต่ต้องระวังเรื่องของธาตุอาหารที่ต้องเพียงพอและครบถ้วน และป้องกันไม่ให้ปุ๋ยมีเชื้อก่อโรค
  3. ใส่พ่อแม่พันธุ์ไข่ผำ หลังจากเติมอาหารเสร็จแล้ว จะทำการใส่พ่อแม่พันธุ์ไข่ผำลงไปในบ่อ โดยใส่ในอัตรา 1 ตารางเมตร ต่อไข่ผำ 100 กรัม ซึ่งเมื่อไข่ผำโตเต็มที่ จะสามารถได้ปริมาณไข่ผำประมาณ 1 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 14 วัน (โดยประมาณ)

ปัจจัยในการเจริญเติบโตมาจากอะไรบ้าง

สิ่งสำคัญที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี เริ่มต้นจากการเลือกสายพันธุ์พันธุกรรมที่เหมาะสมและการจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับการเติบโต ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้แก่ แสงแดด อุณหภูมิ ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงและการหายใจของพืช ที่ช่วยให้พืชได้รับอาหารจากน้ำและนำไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เมื่อพืชเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว พืชจะทำการสืบพันธุ์โดยการแตกหน่อ ขยายจาก 1 ตัวให้กลายเป็น 2 ตัว

ไข่ผำเป็นพืชที่มีลักษณะเป็นไม้ดอก แต่กระบวนการออกดอกของมันมีความเฉพาะเจาะจงและไม่เหมือนพืชทั่วไป จึงทำให้ไม่ค่อยเห็นการออกดอกบ่อยนัก การแตกหน่อช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อไข่ผำเริ่มออกดอก มันจะติดเมล็ดและทำให้ต้นแม่ตาย ดังนั้น ข้อดีและข้อเสียในการออกดอกและการแตกหน่อจึงแตกต่างกัน การออกดอกอาจมีประโยชน์ในแง่ของการสร้างพันธุ์พืชใหม่ เช่น การได้พันธุ์ไข่ผำใหม่ แต่หากมองในแง่ของการผลิตเพื่อธุรกิจหรือการใช้ประโยชน์ การแตกหน่อจะมีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากกว่า

ปัจจัยทางธรรมชาติที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของไข่ผำนั้น ไม่ต้องการแสงแดดมากนัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้การพรางแสงด้วยซาแรนประมาณ 50% เมื่อมีแสงเพียงพอ ไข่ผำจะเจริญเติบโตได้ดีและทนอุณหภูมิสูงในระดับหนึ่ง อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่อาจมีผลแตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น หน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว บางสวนหรือฟาร์มอาจใช้มินิสปริงเกอร์หรือตัวพ่นหมอกเพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ แต่ต้องระวังเรื่องการเกิดเชื้อราและต้องระบายอากาศให้ดี นอกจากนี้ ศัตรูพืชก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ถึงแม้ว่าไข่ผำจะไม่ค่อยมีศัตรูพืชที่อันตรายหรือมีผลกระทบมากเท่าพืชชนิดอื่น ซึ่งถือเป็นข้อดีที่ไม่ต้องกังวลเรื่องสารพิษตกค้างหากนำไปบริโภค หากต้องการป้องกันศัตรูพืช เช่น แมลง เกษตรกรสามารถใช้มุ้งกันแมลงเพื่อป้องกันการวางไข่บนผิวน้ำ การจัดการไข่ผำจึงถือว่าทำได้ง่ายเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆ

ปัจจุบัน “ไข่ผำ” ได้รับการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่น ไข่ผำแห้ง เพื่อนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยราคาของไข่ผำจะขึ้นอยู่กับกลไกทางการตลาดและคุณภาพของสินค้า แต่ก่อนที่จะนำไปปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ จำเป็นต้องมีการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจในความเหมาะสมและประสิทธิภาพ

ในช่วงนี้หลายคนเริ่มหันมาเพาะเลี้ยงไข่ผำมากขึ้น หากมองในแง่ของตลาด อาจารย์ได้แบ่งกลุ่มผู้ประกอบการออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ

  • กลุ่มแรก คือ เกษตรกรที่มุ่งหวังการเลี้ยงไข่ผำให้ได้ตามมาตรฐานและนำไปใช้ประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การนำไปทำเมนูอาหาร หรือเพาะขายเพื่อขยายประโยชน์ไปยังชุมชน
  • กลุ่มที่สอง คือ ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ แต่ต้องคำนึงถึงตลาดก่อนการลงทุน เพราะตลาดอาจมีความผันผวน ความต้องการก็อาจจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ดังนั้นการศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากเป็นตลาดส่งออกก็เหมาะกับรายใหญ่ ส่วนรายเล็กหรือรายกลางสามารถเริ่มต้นได้หากสร้างฐานที่แข็งแกร่ง ในอนาคตการส่งออกก็เป็นไปได้หากสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันในตลาดได้เมื่อเทียบกับ Super Food ตัวอื่นๆ

สำหรับประชาชน เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.ดร.อารักษ์ ธีรอำพน โทร.063-645-6494, สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. จังหวัดนครราชสีมา