การทำเกษตรญี่ปุ่นกับไทย มีวิธีคิดและวิธีทำต่างกันยังไง?

การเกษตรถือเป็นรากฐานสำคัญของหลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและไทยที่ต่างมีความโดดเด่นเฉพาะตัว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความแตกต่างที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรม เทคโนโลยี และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่ 

การทำเกษตรญี่ปุ่นกับไทย มีวิธีคิดและวิธีทำต่างกันยังไง?
การทำเกษตรญี่ปุ่นกับไทย มีวิธีคิดและวิธีทำต่างกันยังไง?

เทคโนโลยีชาวบ้านได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณนิทัศน์ ศรีอุราม หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คุณโอซัง’ เกษตรกรตัวจริงที่เคยไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเกษตรกรรมที่ประเทศญี่ปุ่น เผยให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการทำเกษตรในญี่ปุ่นและไทย ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน

คุณโอซัง เล่าให้ฟังว่าจากการที่ได้ไปแลกเปลี่ยนเป็นเกษตรกรในญี่ปุ่นถ้าพูดถึงในมุมของการทำเกษตรในญี่ปุ่นกับไทยนั้น “การผลิตไม่ได้ต่างกันมาก แต่ที่แตกต่างจริงๆ คือการวางแผนและการบริหารจัดการ ยกตัวอย่างในไทยช่วงมีนาคม-เมษายน ทุเรียนจะออกผลผลิต ซึ่งเกษตรกรต้องวางแผนทั้งการปลูกและการขาย ถ้าเป็นคนไทย เราต้องจัดการเองทุกขั้นตอน แต่ที่ญี่ปุ่นจะมีสหกรณ์เกษตรที่ช่วยบริหารจัดการผลผลิตต่อไป และส่วนใหญ่คนไทยมักจะไม่ค่อยจดบันทึกรายละเอียดแบบที่คนญี่ปุ่นทำ”

ในบ้านเรา ปัญหาของเกษตรกรมักไม่ได้อยู่ที่การปลูกพืช แต่เป็นเรื่องราคาสินค้าที่ตกต่ำหรือขายไม่ได้ เช่น สินค้าบางอย่างในปีนั้นอาจไม่มีคนซื้อเลย ขณะที่ญี่ปุ่นแก้ปัญหานี้ด้วยระบบสหกรณ์การเกษต ซึ่งมีอยู่ประมาณ 648 แห่งทั่วประเทศ สหกรณ์เหล่านี้ช่วยเกษตรกรจัดการเรื่องความต้องการและซัพพลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกอย่างเป็นระบบ เกษตรกรไม่ต้องทำการตลาดเอง ขายเอง

ขนาดพื้นที่การเกษตร
  • ญี่ปุ่น ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะและมีพื้นที่ราบจำกัด ทำให้ฟาร์มในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการที่รู้จักบริหารจัดการพื้นที่น้อยแต่ทำมาก เกษตรกรเน้นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าด้วยการเพาะปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ข้าวคุณภาพดี ผักปลอดสาร และผลไม้พรีเมียม
  • ไทย มีพื้นที่การเกษตรกว้างขวางกว่า เกษตรกรมักใช้พื้นที่ปลูกข้าวเป็นหลัก โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคอีสาน แต่การจัดการพื้นที่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิมในหลายพื้นที่ ทำให้ผลผลิตต่อไร่อาจยังไม่สูงเท่าที่ควร

สภาพแวดล้อมและนโยบายสนับสนุน

ญี่ปุ่น การสนับสนุนเชิงระบบ
  • นโยบายรัฐบาลที่แข็งแกร่ง รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนเกษตรกรอย่างชัดเจนผ่านเงินอุดหนุน การประกันราคา และการสนับสนุนงานวิจัย
  • สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ ญี่ปุ่นพยายามควบคุมสภาพแวดล้อมการเพาะปลูก เช่น ใช้โรงเรือนหรือวัสดุคลุมดินเพื่อลดผลกระทบจากสภาพอากาศ
ไทย การปรับตัวตามธรรมชาติ
  • การพึ่งพาฤดูกาล เกษตรไทยพึ่งพาฤดูฝนและสภาพธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้ผลผลิตไม่แน่นอน
  • การสนับสนุนที่กระจายตัว รัฐบาลไทยมีการส่งเสริมเกษตรกรผ่านโครงการต่างๆ เช่น การแจกปุ๋ยหรือเมล็ดพันธุ์ แต่ยังขาดการเข้าถึงอย่างทั่วถึงในบางพื้นที่

ทำไมเกษตรกรญี่ปุ่นถึงรวย แต่เกษตรกรไทยยังคงลำบาก?

Advertisement

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ความแตกต่างนี้เกิดขึ้น? คุณโอซัง เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า “เกษตรกรญี่ปุ่นนี่รวยจริงๆ นะ เป็นอาชีพที่คนในประเทศเขายกย่องกันเลย คนญี่ปุ่นจะบอกขอบคุณที่คุณเป็นเกษตรกร ขอบคุณที่ปลูกผักดีๆ ให้เรากิน ตอนเราเคยนั่งปลูกผัก หยอดเมล็ดกันอยู่ข้างสวนสาธารณะในแปลงบ้านเรา คุณย่าคุณยายแถวๆ นั้นที่เป็นลูกค้าประจำก็เดินมาบอกเลยว่า ขอบคุณมากนะ ที่ทำผักอร่อยๆ ให้กินตลอด ฟังแล้วอบอุ่นใจมาก

แต่พอมามองประเทศไทยกลับรู้สึกเศร้าใจ คนไทยทำไมยังจนอยู่แบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะธรรมชาติของระบบเรานี่แหละ เกษตรกรปลูกสินค้าแล้วไม่ได้ขายเอง ไม่ได้รู้จักลูกค้าตัวเอง ส่งให้พ่อค้าคนกลางหมด กลายเป็นพ่อค้าคนกลางที่รวยแทน เกษตรกรไม่รู้เลยว่าสินค้าดีๆ ที่ตัวเองปลูกไปถึงมือใคร ทำให้เขาไม่ได้รับความยกย่องหรือกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ควรจะเป็น”

Advertisement

เกษตรกรรุ่นใหม่ ผสานภูมิปัญญาญี่ปุ่น สร้างวิถีเกษตรยุคใหม่ที่ยั่งยืน

จุดเปลี่ยนเกษตรกรไทย ควรเริ่มปรับตรงไหนให้รวยและยั่งยืน?

“หากต้องการช่วยให้เกษตรกรไทยอยู่รอดในภาพรวม ผมคิดว่าภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทมากกว่านี้ ถ้าจะสนับสนุนก็ต้องสนับสนุนให้เต็มที่ ไม่ใช่ช่วยแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วปล่อยให้เกษตรกรต้องดิ้นรนเอาเอง ผมมองว่าต้องแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างใหญ่ เช่น ลดการนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าของไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน” คุณโอซัง กล่าว

ในแต่ละปี ประเทศไทยนำเข้าผักจากจีนเป็นจำนวนมาก หากไม่นับผลไม้บางชนิดที่เรายังไม่มีในประเทศและจำเป็นต้องนำเข้า เราควรพิจารณาลดการนำเข้าผักที่เราผลิตได้เอง เพื่อให้สินค้าเกษตรของคนไทยมีพื้นที่ในตลาดกลางมากขึ้น ปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดกลับไปตกอยู่กับต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประเทศไทยควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมนำเข้าสินค้า เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าในประเทศตกต่ำจนเกินไป ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งในด้านการส่งเสริม สร้างมาตรการ และออกกฎหมายที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน