สาหร่ายผักกาดทะเล Future food น้องใหม่ อาหารแห่งอนาคตเพื่อสุขภาพ

สาหร่ายผักกาดทะเล (Ulva spp.) มีรูปลักษณะที่โดดเด่นด้วยทัลลัสที่เป็นแผ่นบางขนาดใหญ่ พร้อมรอยจีบตามขอบใบ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “สาหร่ายผักกาดทะเล” สาหร่ายชนิดนี้ยังมีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของความเค็มได้ดี และสามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วทั้งในแนวกว้างและแนวยาว ด้วยการแบ่งเซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูง

ถิ่นอาศัยของสาหร่ายผักกาดทะเล พบได้ในพื้นที่ชายฝั่งโดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ต มักพบลอยน้ำในบริเวณแหล่งหญ้าทะเลหรือหลุดลอยมาตามผิวหาด นับเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีศักยภาพสำหรับการเพาะเลี้ยงและแปรรูปเชิงพาณิชย์ในอนาคต

สาหร่ายผักกาดทะเลมีคุณค่าทางโภชนาการและการใช้ประโยชน์ เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดยสามารถนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารหลากหลายประเภท เช่น ต้ม ผัด แกง หรือทอด และคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น ได้แก่

  1. โปรตีนสูงถึง 25-30 กรัมต่อ 100 กรัม พร้อมใยอาหารถึง 9.79% แต่มีไขมันและพลังงานต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
  2. อุดมไปด้วยเกลือแร่ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ
  3. มีกรดอะมิโนจำเป็นในสัดส่วนสูง (37-39% ของกรดอะมิโนรวม) เช่น Glutamic Acid และ Aspartic Acid
  4. มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 โดยเฉพาะกรด EPA และ DHA ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสมอง

การใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรมและการเกษตร นอกเหนือจากการบริโภคในรูปแบบอาหาร สาหร่ายผักกาดทะเลยังมีศักยภาพในการใช้ประโยชน์ในหลายด้าน คือการนำมาใช้เป็นวัสดุอาหารสัตว์น้ำ เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือก ทดแทนการใช้ปลาปั่นในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือจะหมักทำปุ๋ยเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินในการเกษตร

บทบาทในฐานะ Future Food ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สาหร่ายผักกาดทะเลจึงได้รับการพัฒนาและสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยต่างๆ อย่างเช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตผ่านนวัตกรรมการเลี้ยงในถังพลาสติกที่สะอาด และง่ายต่อการจัดการ พร้อมทั้งพัฒนาการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์

Advertisement

ซึ่งโครงการขยายผลและการสนับสนุนให้กับเกษตรกรนั้น ปัจจุบันโครงการการขยายผลนวัตกรรมการเพาะเลี้ยงและการแปรรูปสาหร่ายผักกาดทะเลเชิงพาณิชย์ ได้เริ่มดำเนินการในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ระยอง และจันทบุรี โดยมีเป้าหมายเกษตรกร 100 ราย ซึ่งได้รับการสนับสนุนต้นพันธุ์ ระบบเพาะเลี้ยง และการถ่ายทอดองค์ความรู้

Advertisement

สาหร่ายผักกาดทะเลมีความน่าสนใจและมีความเหมาะสมที่จะสนับสนุนให้มีการพัฒนาเป็น Future food ตัวใหม่ ด้วยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบกับมีราคาจำหน่ายสูง โดยแบบสดราคา 300-500 บาทต่อกิโลกรัม และแบบแห้งราคาสูงอยู่ที่ 5,000 บาทต่อกิโลกรัม 

สำหรับสาหร่ายผักกาดทะเลในอนาคตมีความสดใส เพราะด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและศักยภาพในเชิงพาณิชย์ จึงนับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งผู้บริโภคและเกษตรกร คาดว่าอีกไม่นานสาหร่ายชนิดนี้จะมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ และช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจในชุมชนชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน