หนุนอัพเกรดภาคเกษตรด้วยโมเดล BCG ยก “สาหร่ายทะเล” เป็นต้นแบบการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากรอาหาร เกษตรกรไทยได้ค้นพบโอกาสใหม่ผ่านการเพาะเลี้ยงและแปรรูป “สาหร่ายทะเล” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงอาหารแห่งอนาคต (Future Food) แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้และความยั่งยืนให้กับชุมชนอย่างแท้จริง

กรมประมงขานรับนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผลักดันเกษตรสมัยใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นำโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ยกระดับการเพาะเลี้ยงและแปรรูป “สาหร่ายทะเล” สู่การเป็นอาหารแห่งอนาคต พร้อมต่อยอดผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าหลากหลาย ตอบสนองความต้องการตลาดและสร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจฐานราก

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงดำเนินงานภายใต้นโยบายของ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ที่มุ่งใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้านการเพาะเลี้ยง “สาหร่ายทะเล” ที่กำลังได้รับความนิยมสูงในตลาดทั้งในและต่างประเทศ

เกษตรกรได้อะไร

จากการปลูกสาหร่ายทะเล?

  1. รายได้ที่มั่นคงและเพิ่มขึ้น
    การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยอย่างมาก ด้วยความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ สาหร่ายทะเลสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น สาหร่ายตากแห้ง บะหมี่สาหร่าย และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งขายได้ราคาดี เกษตรกรบางกลุ่มสามารถสร้างรายได้หลายล้านบาทต่อปีจากการผลิตสาหร่ายเพียงไม่กี่ชนิด
  2. ต้นทุนต่ำ ผลตอบแทนสูง
    การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลใช้พื้นที่น้ำน้อย และต้นทุนการผลิตไม่สูงเทียบกับพืชชนิดอื่น เกษตรกรสามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ไม่มาก แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับคุ้มค่า อีกทั้งสาหร่ายเติบโตเร็ว เก็บเกี่ยวได้หลายรอบในหนึ่งปี
  3. โอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
    สาหร่ายทะเลเป็นพืชที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ทำอาหารเสริมสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว หรือแม้กระทั่งเป็นส่วนผสมในยา เกษตรกรที่นำสาหร่ายไปแปรรูปสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ได้หลายเท่า เช่น จากสาหร่ายตากแห้งที่ขายได้กิโลกรัมละหลักร้อย พัฒนาเป็นบะหมี่หรือเซรั่มที่ขายได้ในราคาหลายร้อยหรือหลักพัน
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง

Future Food 

อาหารแห่งอนาคต 

Advertisement

สาหร่ายทะเลถูกพัฒนาสู่การเป็น Future Food ด้วยศักยภาพการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องสำอาง ยา อาหารสัตว์ และปุ๋ย อีกทั้งยังตอบโจทย์การสร้างมูลค่าในทุกห่วงโซ่การผลิต โดยในปี 2567 มีปริมาณผลผลิตสาหร่ายทะเลในไทยถึง 1,031.31 ตัน มูลค่ากว่า 43.3 ล้านบาท

Advertisement

กรมประมงได้ร่วมมือกับหน่วยงานสำคัญ เช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และสำนักงาน กปร. พร้อมทั้งสถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาการเพาะเลี้ยงและการแปรรูปสาหร่ายทะเลชนิดต่าง ๆ เช่น สาหร่ายผักกาด และสาหร่ายพวงองุ่น โดยส่งเสริมองค์ความรู้และนวัตกรรมครบวงจร ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การเก็บเกี่ยว การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการตลาด

ส่วนความต้องการตลาดนั้น สาหร่ายทะเลกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก ทั้งในอุตสาหกรรมอาหารสุขภาพและความงาม รวมถึงการผลิตปุ๋ยและอาหารสัตว์ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคหันมาสนใจอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สาหร่ายทะเลยังดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลเป็นการเกษตรที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจน อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลระบบนิเวศทางทะเล การทำสาหร่ายจึงเป็นมิตรต่อธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ สามารถสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน
เกษตรกรที่รวมกลุ่มกันเพาะเลี้ยงสาหร่ายสามารถพัฒนาสู่รูปแบบวิสาหกิจชุมชนได้ ส่งผลให้เกิดการสร้างงานในท้องถิ่น และช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน ทำให้คนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าจับตา

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจันทราบุรี @ปากน้ำแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จจากการเพาะเลี้ยงและแปรรูปสาหร่ายทะเล เกษตรกรในกลุ่มนี้ได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาสินค้าหลากหลาย เช่น บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเล เซรั่มบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งสามารถสร้างรายได้หลายล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งยังมีแผนการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ

โดยศึกษาจากกระแสความต้องการของตลาดผู้บริโภค ซึ่งสามารถผลิตทั้งด้านอาหารและเครื่องสำอางได้มากกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ เช่น สาหร่ายทะเลตากแห้ง บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเล บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเลพร้อมผงปรุง 6 รสชาติ ผักม้วนสาหร่ายผักกาดทะเล พาสต้าสาหร่ายผักกาดทะเล เซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมสารสกัดจากสาหร่ายผักกาดทะเล แชมพู ครีมนวดผม เจลอาบน้ำ โลชั่นบำรุงผิวกายผสมสารสกัดจากสาหร่ายผักกาดทะเล เป็นต้น 

การผลักดันจากกรมประมง รวมทั้งสำนักงาน กปร. ทำให้ได้รับการรับรองมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ทุกผลิตภัณฑ์เป็นแห่งแรก โดยวางจำหน่ายที่ร้านสิริพัฒนภัณฑ์ ภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ และร้าน Fisherman shop @Bangkhen และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการจดสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์  

ทั้งนี้ ปัจจุบันสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนมูลค่ากว่าหลายล้านบาทต่อปี  สร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับชุมชนอย่างอย่างยั่งยืน และยังมีแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งออกต่างประเทศในอนาคต การเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลไม่ได้เป็นเพียงโอกาสใหม่สำหรับเกษตรกรไทย แต่ยังเป็นหนทางที่ช่วยสร้างรายได้ ลดต้นทุน และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรและชุมชนอย่างแท้จริง