ที่มา | เทคโนโลยีการเกษตร |
---|---|
ผู้เขียน | สาวบางแค 22 |
เผยแพร่ |
ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เล็งเห็นคุณค่าของกระเจี๊ยบแดง จึงเดินหน้าพัฒนาสายพันธุ์กระเจี๊ยบแดงมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเตรียมเปิดตัวพันธุ์ใหม่ คือ กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนไจแอนท์เพอร์เพิล ภายในงานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 8 กุมภาพันธ์ 2568 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์
ทีมนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน ประกอบด้วย นางสาวบุณณดา ศรีคำผึ้ง ( โทร. 09-9641-6246 ) นางอุทัยวรรณ ด้วงเงิน และนางสาววันณิสา พูลเดช ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนากระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนไจแอนท์ ที่มีลักษณะของขนาดกลีบเลี้ยงที่โดดเด่นแตกต่างจากกระเจี๊ยบแดงพันธุ์ทั่วไปขนาดใหญ่และหนา สีม่วงแดงและสีแดง ปลายกลีบเลี้ยงกิ่งหุบกิ่งบานและยังคงเป็นพืชวันสั้นที่ตอบสนองต่อแสง มีฤดูปลูกที่เหมาะสมอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม
กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนไจแอนท์ มี 2 สายพันธุ์ คือ ไจแอนท์เพอร์เพิลและไจแอนท์เรดซึ่งเป็นพันธุ์แท้ทั้งคู่ เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างกระเจี๊ยบแดงพันธุ์กลีบยาวและพันธุ์ซูดาน เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2554 ปลูกทดสอบลูกผสมและพบการกระจายตัวของลักษณะในรุ่นที่ 7 จึงปลูกคัดเลือกประชากรเพื่อศึกษาความคงตัวของสายพันธุ์ ดำเนินการคัดเลือกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 – 2565 โดยปลูกปีละ 1 ครั้ง คัดเลือกต้นที่มีลักษณะของสี ขนาด และรูปทรงของกลีบเลี้ยงที่มีลักษณะดีเด่นในประชากรแต่ละรุ่นมาปลูกจนกระทั่งลักษณะของพันธุ์มีความคงตัว
จุดเด่นและการใช้ประโยชน์
กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสน “ ไจแอนท์เพอร์เพิล ” มีสารแอนโทไซยานินมาก กลีบเลี้ยงมีสีแดงเข้ม/ม่วงเข้ม มีชนิดและปริมาณกรดอินทรีย์ในกลีบเลี้ยงสูงใกล้เคียงกับกระเจี๊ยบแดงสีอื่นๆ เป็นพันธุ์แท้ที่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อได้
กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสน “ ไจแอนท์เรด” มีสารแอนโทไซยานินปานกลาง กลีบเลี้ยง มีสีแดง มีชนิดและปริมาณกรดอินทรีย์ในกลีบเลี้ยงสูงใกล้เคียงกับกระเจี๊ยบแดงสีอื่น ๆ เป็นพันธุ์แท้ที่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อได้ ทั้งนี้ ผู้สนใจผลงานปรับปรุงพันธุ์พืชของ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน สามารถติดตามข่าวสารได้ทาง FB : https:/www.facebook.com/tvrcku
กระเจี๊ยบปลูกดูแลง่าย
เติบโตได้ดีในสภาพร้อนชื้น แดดจัด
หากใครสนใจปลูกกระเจี๊ยบแดง กรมส่งเสริมการเกษตรมีคำแนะนำการปลูกดังนี้ เริ่มจากการเตรียมดินก่อน โดยทำการไถดะเพื่อเปิดหน้าดิน หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ จึงไถแปรเกลี่ยดินให้เรียบเสมอกัน โดยใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยอินทรีย์ผสมพร้อมการพรวนดินให้ร่วน แต่หากดินดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยก็ได้เช่นกัน
สำหรับการขยายพันธุ์ หากเกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์เอง ให้คัดเลือกจากต้นพันธุ์ที่มีกลีบดอกสีแดงเข้ม กลีบเลี้ยงหนา โดยนำเมล็ดไปแช่น้ำ แล้วคัดเมล็ดที่ลอยน้ำทิ้ง เก็บไว้เฉพาะเมล็ดที่จมน้ำ และนำขึ้นผึ่งลมจนแห้งก่อนนำไปปลูก
การปลูกสามารถทำได้โดยนำเมล็ดไปหยอดลงหลุม หลุมละประมาณ 3-5 เมล็ด เว้นระยะห่างระหว่างต้น 1 เมตร และระหว่างแถว 1-1.5 เมตร ใน 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 400 ต้น ซึ่งช่วงที่เหมาะสมในการปลูกกระเจี๊ยบจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และจะเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม และจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเดือนมกราคม ซึ่งจะมีอายุประมาณ 120 วัน

สำหรับการดูแล สามารถใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ ในช่วงที่เริ่มเจริญเติบโต โดยมีอายุประมาณ 10-15 วัน และ 40-50 วัน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพราะจะทำให้ใบและฝักโตเร็วเกินไป เป็นโรคง่าย
ส่วนการให้น้ำ ในระยะ 1-2 เดือนแรกควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อผ่านระยะนี้ไปแล้วต้นกระเจี๊ยบจะสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ดี ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของต้นกระเจี๊ยบแดง ประกอบด้วย วัชพืช โรค และแมลง ดังนั้นจึงควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสเกิดความเสียหาย ส่วนโรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคใบจุด โรคฝักจุด หรือฝักลาย และโรคแอนแทรคโนส หากพบให้กำจัดโดยใช้เชื้อบาซิลลัส ซับทีลิส (Bacillus substilis หรือ บีเอส) พ่นในอัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
สำหรับแมลงรบกวนมักพบเป็นหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยจักจั่นฝ้าย สามารถกำจัดได้โดยใช้เชื้อ BT (Bacillus thuringiensis) ในอัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้สารธรรมชาติ เช่น เมล็ดสะเดาพ่นในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
การเก็บเกี่ยวสามารถทำได้ 2 แบบ คือ เก็บเฉพาะดอกกระเจี๊ยบแดง โดยใช้กรรไกรหรือมีดตัดเฉพาะดอกที่แก่ แล้วใส่ในภาชนะที่มีวัสดุรอง หรือเก็บเกี่ยวทั้งต้น โดยใช้เคียวเกี่ยวบริเวณโคนกิ่ง
หลังเก็บเกี่ยวให้นำดอกไปแทงเมล็ดออก โดยใช้เหล็กกระทุ้งแทงบริเวณขั้วให้เมล็ดหลุดออกจากกระเปาะหุ้มเมล็ด ส่วนที่เหลือเป็นกลีบเลี้ยง หรือกลีบดอก ให้นำกลีบดอกไปตากแดดนาน 4-7 วันจนแห้งสนิท โดยตากบนชั้นที่สูงจากพื้นดินประมาณ 60- 70 เซนติเมตร และคลุมด้วยผ้าขาวบางเพื่อป้องกันฝุ่น ก่อนนำกระเจี๊ยบแดงที่แห้งสนิทแล้วมาบรรจุถุง ปิดปากให้สนิท และนำเข้าจัดเก็บในห้องที่สะอาด เย็น และไม่อับชื้น
กระเจี๊ยบมีสรรพคุณทางยาสูง
กระเจี๊ยบแดง มีรสชาติออกเปรี้ยว ใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลและใบ โดย “ใบกระเจี๊ยบ” มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ใบใช้ทำอาหารคาว ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวกหรือใช้ใบตากแห้งต้มน้ำดื่ม เพื่อบรรเทาอาการไอ ส่วน “กลีบเลี้ยง” ผลกระเจี๊ยบมีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีสารโทไซยานินปริมาณมากกว่าบลูเบอร์รี่ ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความแข็งแรงหลอดเลือด ลดความดันโลหิต โรคมะเร็ง ทั้งชะลอความแก่ ลดเสี่ยงโรคสมองเสื่อม และมีสรรพคุณช่วยควบคุมน้ำหนัก จึงนิยมนำกลีบเลี้ยงผลกระเจี๊ยบมาต้มเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ส่วนกากกระเจี๊ยบที่เหลือจากการต้มน้ำกระเจี๊ยบแล้ว ก็มีไฟเบอร์สูง ใช้เป็นส่วนผสมในการทำขนม คุกกี้ ก็จัดเป็นขนมสุขภาพอีกรูปแบบหนึ่ง
อ้างอิงข้อมูล เทคนิค การปลูกระเจี๊ยบแดง กรมส่งเสริมการเกษตร
https://www.opsmoac.go.th/chiangrai-article_prov-preview-462891791797