เจาะเทคนิค ปลูกอะโวคาโดให้ได้คุณภาพ พุ่งเป้าตลาดพรีเมียม ผลไม้ไขมันดี ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพยุคใหม่

จากสาวกที่หลงรักอะโวคาโด กลายมาเป็นผู้ปลูกที่เชี่ยวชาญจนถึงทุกวันนี้ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ใช้เวลาในการศึกษาวิธีการปลูกอะโวคาโดให้เหมาะสมกับพื้นที่ของตัวเองมาหลายปี และมุ่งมั่นผลักดันผลผลิตให้กลายเป็นสินค้าในตลาด Hi-End หรือ Premium Market

คุณจ้ำ-ณฐกร เอกสมัย เจ้าของ Grande Farm
คุณจ้ำ-ณฐกร เอกสมัย เจ้าของ Grande Farm

คุณจ้ำ-ณฐกร เอกสมัย เจ้าของ Grande Farm ผู้ปลูกอะโวคาโดบนพื้นที่ปากช่อง เดิมทีก่อนหน้านี้ทำธุรกิจส่วนตัว และได้ตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน ซึ่งเดิมคุณพ่อก็ปลูกน้อยหน่าอยู่แล้วประมาณ 100 ต้น ซึ่งถือเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในแถบปากช่อง พอกลับมาอยู่บ้านได้สักพักจึงได้ศึกษาการปลูกน้อยหน่าดู แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยังน้อยและขาดความรู้เชิงลึก ต้นน้อยหน่าที่ปลูกไว้จึงไม่รอด ทำให้ต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ว่าพื้นที่นี้สามารถปลูกพืชอะไรได้บ้าง

ที่มาของ Grande Farm

ก่อนที่เราจะเริ่มปลูกอะโวคาโดเอง ผมก็เป็นหนึ่งในสาวกที่หลงรักอะโวคาโดมาก่อน พอคุณพ่อป่วยผมก็เริ่มหาซื้อมาเพื่อทานอยู่เรื่อยๆ และได้ลองชิมจากแหล่งต่างๆ จนรู้ว่าอะโวคาโดที่อร่อยและมีคุณภาพเป็นอย่างไร เมื่อผลผลิตจากสวนของเราเริ่มออก ก็พบว่าอะโวคาโดของเราอร่อยและมีคุณภาพดีกว่าหลายๆ สายพันธุ์ที่เคยลอง แม้จะบอกไม่ได้ว่าดีกว่าที่อื่น แต่สำหรับผมแล้ว รสชาติของมันก็โดดเด่นและน่าพอใจ

เมื่อเรามีของดีแล้ว ผมมองว่าอะโวคาโดที่มีคุณภาพควรไปวางขายในที่ที่เหมาะสม โดยเฉพาะในตลาด Hi-End หรือ Premium Market เพราะถ้าผมขายในตลาดนัด ราคาที่ได้ก็จะต่างจากการขายในตลาดที่ลูกค้าพร้อมจ่ายมากกว่า ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะวางตำแหน่งสินค้าในกลุ่มนี้ โดยพัฒนาตัวแบรนด์ให้ดูมีความหรูหรา

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงสร้าง “Grande Farm” ขึ้นมาเพื่อสะท้อนคุณค่าของสินค้าให้ตรงกับตลาด Hi-End และ Premium เราไม่เพียงแค่ขายอะโวคาโด แต่ยังขายประสบการณ์ในการทานอะโวคาโดที่ดี ไม่ต้องลุ้นว่าอะโวคาโดจะเน่า หรือทานได้ไม่กี่ลูก ที่ Grande Farm ถ้าคุณซื้อ 10 ลูก ก็จะได้ทานทั้ง 10 ลูก และรสชาติจะเหมือนกันทุกลูก ตอนนี้ Grande Farm เติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ผมเองเป็นผู้รับซื้ออะโวคาโดจากสวนในปากช่องที่มีคุณภาพ สามารถผลิตอะโวคาโดที่ได้รับมาตรฐาน GAP ให้กับลูกค้าได้

การตัดสินใจเลือกพืชเพาะปลูก จากการสำรวจชุมชนสู่การวางแผนที่ดี

การเริ่มต้นทำเกษตรให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การลงมือปลูกทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการศึกษาข้อมูลและวางแผนอย่างรอบคอบ คุณจ้ำ เล่าให้ฟังว่า “เริ่มต้นจากการสำรวจรอบๆ หมู่บ้านเพื่อหาพืชทางเลือกอื่นที่เหมาะสม ในระหว่างการสำรวจ ได้พบว่าเกษตรกรในพื้นที่บางส่วนเริ่มปลูกอะโวคาโด ซึ่งเป็นพืชที่ให้ผลผลิตดีและมีแนวโน้มตลาดที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้อะโวคาโดกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ นั่นคือ ช่วงนั้นคุณพ่อไปตรวจสุขภาพและพบว่าค่าไขมันในเลือดสูงขึ้น เราจึงเริ่มศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของอะโวคาโด และพบว่ามันเป็นพืชที่มีไขมันดี” 

Advertisement

หลังจากที่น้อยหน่าที่ปลูกไว้ไม่รอด ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนการเลือกพืชใหม่อย่างจริงจัง กระบวนการตัดสินใจเริ่มต้นจากการหาข้อมูลและสอบถามความคิดเห็นจากเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งแนะนำให้ลองปลูกอะโวคาโด เนื่องจากให้ผลผลิตดี ราคาสูง และเป็นที่ต้องการของตลาด แต่เรายังไม่หยุดแค่คำแนะนำ เราได้ศึกษาต่อไปถึงแนวโน้มตลาด และพบว่าประเทศไทยยังต้องนำเข้าอะโวคาโดเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการภายในประเทศที่มีอยู่แน่นอน

จากนั้น เราลงลึกไปอีกขั้น โดยค้นหาว่าพันธุ์อะโวคาโดชนิดใดที่ตลาดต้องการ เพราะไม่ใช่ว่าทุกพันธุ์จะขายได้ดี การศึกษาเรื่องพันธุ์จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา โชคดีที่บริเวณปากช่องมี สถานีวิจัยปากช่อง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาเกี่ยวกับอะโวคาโด ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับสายพันธุ์และเทคนิคการปลูก

Advertisement

ตอนแรกผมเริ่มจากพื้นที่เดิมที่ปลูกน้อยหน่า ต้นยังอยู่ไม่ได้ตายหมด ผมจึงปลูกอะโวคาโดสลับไปด้วย พอต้นอะโวคาโดรุ่นแรก (ประมาณ 200 ต้น) ตายไปบางส่วน ก็ปลูกซ่อมใหม่ ระหว่างศึกษาการปลูก ผมลองปลูกทุเรียนด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะความรู้ยังไม่มากพอ จนสุดท้ายตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวกับอะโวคาโด เลยเคลียร์พื้นที่ทั้งหมด ตอนนั้นปลูกระยะ 6×6 เมตร ได้ 100 ต้น บนพื้นที่ 2 ไร่กว่า โดยเลือกใช้สายพันธุ์การค้าหลัก 6 สายพันธุ์ เมื่อเริ่มปลูกและได้ผลผลิตดี สามารถขายได้ ก็ต้องการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น จึงซื้อที่ดินเพิ่ม จากเดิม 5 ไร่ ตอนนี้มีทั้งหมด 12 ไร่แล้ว

กว่าจะตัดสินใจปลูกอะโวคาโด เราใช้เวลากว่า 1 ปีในการศึกษาข้อมูล วางแผนการปลูก และเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าอะโวคาโดที่ปลูกจะสามารถเติบโตได้ดี ตอบโจทย์ตลาด และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

การเลือกสายพันธุ์การค้าในการปลูก

หลักๆ ที่เราปลูกจะเป็นสายพันธุ์การค้าทั้งหมด โดยในฐานะประธานแปลงใหญ่ที่ส่งเสริมการปลูกอะโวคาโดที่นี่ เราได้นำสายพันธุ์จากที่อื่นมาทดลอง ประมาณ 40 สายพันธุ์ แต่ที่เน้นๆ อยู่ตอนนี้จะมีปีเตอร์สัน บรูนี่ บัคคาเนีย วาเลนไทน์ ปีเตอร์แฮส บูท7 และแฮส ซึ่งเราเลือกส่งเสริมพันธุ์เหล่านี้ เพราะพันธุ์อื่นๆ ที่ทดลองปลูกแล้วพบว่ามีข้อดีบ้าง แต่ข้อเสียมากกว่า จึงตัดสินใจไม่แนะนำให้เกษตรกรปลูก

การส่งเสริมพันธุ์ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบในพื้นที่ปากช่องเราจะยังไม่แนะนำให้เกษตรกรปลูก แม้ว่าจะมีพันธุ์ที่ดีอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่ แต่เราต้องเน้นพันธุ์ที่เหมาะสมและทนต่อโรคได้ดี นอกจากนี้ เราก็ยังมีการค้นหาสายพันธุ์พื้นเมืองของปากช่องอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดประกวดเพื่อหาสายพันธุ์ที่ทนทานต่อโรคได้ดีกว่า เนื่องจากพันธุ์การค้าที่ปลูกอยู่ตอนนี้อายุประมาณ 70-80 ปีแล้ว เมื่อขยายพันธุ์ไปมากๆ ก็เริ่มมีปัญหาด้านโรคและศัตรูพืช ดังนั้น การหาสายพันธุ์ที่ทนโรคได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเรามุ่งเน้นการเสาะหาสายพันธุ์ที่เกิดในพื้นที่ปากช่อง เพื่อความเหมาะสมและยั่งยืน

หลังจากที่ผมได้ทดลองปลูกเอง พบว่าในไทยยังไม่มีองค์ความรู้ที่สรุปเป็นขั้นตอนชัดเจน 1-2-3 ว่าต้องทำอย่างไร แม้จะนำความรู้จากแปลงปลูกอื่นมาใช้ แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้ผลที่ปากช่อง เพราะลักษณะภูมิอากาศแตกต่างกันมาก ดังนั้น ผมจึงต้องทดลองด้วยตัวเองเพื่อหาข้อสรุปและองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับที่นี่ ใช้เวลาไปประมาณ 4 ปี

ตอนนี้เราก็เริ่มถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนผม ถ้าสนใจอยากปลูกก็สามารถมาเรียนรู้จากประสบการณ์ของผมได้เลย ไม่ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น สามารถเริ่มจากขั้นตอนที่เราเรียนรู้และพัฒนาไปแล้ว 20-30% ทันที

เทคนิคการปลูกอะโวคาโด ฉบับสวน Grande Farm

ต้นอะโวคาโดที่มีอายุยาวที่สุดที่ผมรู้มามีอายุถึง 56 ปี โดยที่ต้นหนึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ปีละครั้ง อะโวคาโดไม่สามารถทำนอกฤดูได้ เพราะมันต้องการอากาศเย็นเพื่อกระตุ้นการออกดอก เราสามารถควบคุมหลายปัจจัยได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมหรือหลอกได้คืออากาศเย็น

อะโวคาโดควรปลูกในดินที่ต้องไม่ขังน้ำและสามารถระบายน้ำได้ดี ควรหลีกเลี่ยงดินเหนียวและดินที่มีความเค็มสูง รวมถึงต้องไม่เป็นดินที่มีค่า pH ด่างเกินไป สำหรับการให้ปุ๋ยในช่วงแรกจะเน้นการบำรุงใบ ก่อนที่จะเริ่มทำดอกจึงจะเปลี่ยนเป็นการบำรุงที่เน้นไปที่ตัวท้าย การใส่ปุ๋ยจะทำทุกเดือนเพื่อให้พืชได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

เมื่อต้นอะโวคาโดสมบูรณ์และได้รับการดูแลอย่างดี เช่น การให้อาหารและน้ำเพียงพอ ต้นจะเติบโตได้เต็มที่ สำหรับสถิติของผมตอนออกดอกมักจะเริ่มออกหลังจากปีครึ่ง แต่ผมมักจะตัดออกหากดอกยังเล็กเกินไป และจะปล่อยให้ต้นโตเต็มที่ประมาณ 3-4 ปี ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น เมื่อเริ่มออกลูกแล้ว ต้องทำการตัดแต่งลูกทิ้งบางส่วน แม้ว่าต้นจะโตแล้วก็ตาม เพราะหากไม่ตัดแต่ง บางกิ่งอาจแย่งสารอาหารจากส่วนอื่น ทำให้ผลผลิตไม่สมบูรณ์

เมล็ดอะโวคาโดมีขนาดใหญ่ และภายในเมล็ดนั้นบรรจุ DNA ที่เข้มข้น ซึ่ง 1 เมล็ดเท่ากับ 1 DNA ถ้าเรานำอะโวคาโด 100 เม็ดไปปลูก เราก็จะได้อะโวคาโดสายพันธุ์ใหม่ถึง 100 ต้น แต่การกลายพันธุ์นั้นมีข้อเสีย เนื่องจากมีเพียง 10% เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมือนต้นแม่และให้ผลผลิตในปีที่ 7 หรือ 8

ในทางกลับกัน การปลูกโดยการเสียบยอดเป็นวิธีที่นิยมใช้มากกว่า โดยนำพันธุ์ที่ดีมาทำการเสียบกับต้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ซึ่งต้นพันธุ์ที่นำมาเสียบจะต้องเป็นต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว การเสียบยอดช่วยให้ต้นมีรากแก้ว และใบหรือดอกที่ออกมาจะเหมือนกับต้นแม่ทุกประการ เป็นวิธีที่ช่วยอนุรักษ์สายพันธุ์และทำให้ได้ผลผลิตเร็วขึ้น

สำหรับคนที่มีที่ดินแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

ถ้าเป็นเทคนิคการปลูกนะครับ สมมติมีที่ดินสักแปลง ถ้ามาเจอผม อันดับแรกเลยคือ ต้องเตรียมแปลงปลูกให้พร้อมก่อน โดยเริ่มจากการตรวจสอบดินให้แน่ใจว่าสภาพดินดีหรือไม่ ถ้าจำเป็นต้องปรับปรุงก็ให้ทำการปรับแก้ไขดินเสียก่อน

หลังจากนั้น เตรียมแหล่งน้ำและระบบน้ำให้พร้อม เมื่อดินและน้ำไม่มีปัญหา เราจะทำการยกร่องเพื่อการระบายน้ำ แล้วก็จัดระยะปลูกที่เหมาะสม ถ้าที่ดินกว้างก็สามารถปลูกระยะ 8×8 เมตรได้ ถ้าที่แคบก็อาจจะปรับเป็น 6×8 เมตร เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการปลูก แต่ถ้าชิดกว่านี้ผมไม่แนะนำ

เมื่อวางแผนการปลูกเสร็จแล้ว ก็ต้องมาคุยกับเกษตรกรว่าเขามีเวลาว่างช่วงไหน เพราะส่วนใหญ่เขาจะปลูกข้าวโพดหรือมันสำปะหลัง และช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวของพืชเหล่านั้นอาจจะไปทับซ้อนกับช่วงเก็บเกี่ยวอะโวคาโด ซึ่งอาจไม่เหมาะ ฉะนั้น เราต้องเลือกพันธุ์อะโวคาโดที่ช่วงเก็บเกี่ยวไม่ตรงกับช่วงเก็บเกี่ยวข้าวโพดหรือมันสำปะหลัง เพื่อให้การทำงานไม่ทับซ้อนกัน

เมื่อเราวางแผนทุกอย่างเสร็จแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเลือกเวลาปลูกที่เหมาะสม หากสะดวกในช่วงหน้าฝนก็สามารถปลูกได้ช่วงนั้น แต่ถ้าช่วงหน้าหนาวสะดวกกว่า ก็ให้ปลูกในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม สำหรับการปลูกในช่วงปลายฝนต้องมั่นใจว่าระบบน้ำพร้อมใช้งานแล้ว จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนของการปลูกและการดูแลรักษาต่อไป

ทำไมถึงเลือกแข่งขันในตลาดพรีเมียม 

คุณจ้ำ เล่าว่า “เรารู้ว่าสินค้าของเรามีศักยภาพมากพอ หากนำอะโวคาโดที่รสชาติไม่ดีไปขายกิโลกรัมละ 150 บาท ต่อให้ภาพลักษณ์ดูดีแค่ไหน ก็ขายได้แค่ครั้งเดียว แต่ด้วยคุณภาพที่เรามั่นใจและการสร้างภาพลักษณ์ที่เหมาะสม ทำให้เราสามารถเดินหน้าต่อในตลาดพรีเมียมได้ เราตระหนักดีว่าต้นทุนของเราสูงกว่าทั่วไปในระดับหนึ่ง แต่กำไรที่ได้รับก็เพียงพอเลี้ยงดูครอบครัว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกแข่งขันในตลาดนี้ เพราะเราเข้าใจสินค้าอย่างแท้จริง และด้วยประสบการณ์ทางธุรกิจ เรารู้ว่าของคุณภาพไม่สามารถขายในราคาถูกได้

ตอนนี้เราจำหน่ายอะโวคาโดผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือส่งเป็นวัตถุดิบให้กับภัตตาคารและโรงแรม โดยมีตลาดหลักอยู่ในกรุงเทพฯ และเขาใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่เราอยากให้เป็นเอกลักษณ์ของอะโวคาโดปากช่อง และขายออนไลน์ บนเพจ Facebook : Grande Farm ราคาขายก็จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท ยกเว้นสายพันธุ์แฮสส์ ที่จะจำหน่ายลูกละ 50 บาท เรียกว่า “ขายดีอันดับ 1”

เป้าหมายของเราคือ ทำให้อะโวคาโดกลายเป็นสินค้าประจำถิ่น ใครอยากชิมต้องมาที่นี่เท่านั้น เราจึงเชิญเชฟและร้านอาหารมาเทสต์รสชาติ ซึ่งทุกคนต่างประทับใจ ด้วยคุณภาพที่ดีกว่าอะโวคาโดนำเข้า ในราคาที่จับต้องได้ เราจึงมุ่งมั่นผลักดันให้ภัตตาคารเลือกใช้อะโวคาโดปากช่องมากขึ้น

หากท่านไหนสนใจอยากสอบถามเรื่องการปลูกอะโวคาโด การดูแล หรืออยากชิมอะโวคาโด สามารถสั่งซื้อได้ที่ เพจ Facebook : Grande Farm หรือเบอร์โทรติดต่อ 063-9765-9045