กรมวิชาการเกษตรหนุนคนไทยเลี้ยง “ไข่ผำ ” พืชมูลค่าสูงสู่การใช้ประโยชน์เชิงการค้า

กรมวิชาการเกษตรหนุนคนไทยเลี้ยง “ไข่ผำ ” พืชมูลค่าสูงสู่การใช้ประโยชน์เชิงการค้า โดยเดินหน้าถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงไข่ผำสู่มาตรฐานพืชอาหาร GAP  ให้แก่ผู้สนใจทั่วประเทศ..

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เทคโนโลยีชาวบ้าน ผู้นำสื่อออนไลน์ด้านการเกษตรครบวงจร และ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดงานสัมมนา ‘ไข่ผำ – วานิลลา: เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ โดยนำเสนอเคล็ดลับการเพาะเลี้ยงพืชทั้งสองชนิด รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพทางเศรษฐกิจและความต้องการของตลาด ซึ่งมีประชาชนเกือบ 300 คน  สนใจเข้าฟังงานสัมมนา ณ ห้องประชุมหนังสือพิมพ์ข่าวสด ในวันและเวลาดังกล่าว

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ นโยบายการทำงานเชิงรุกของกรมวิชาเกษตรกร ภายใต้การนำของนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ที่พูดคุยบนเวทีสัมมนาช่วง Special Talks ในหัวข้อ Renewable ปรับเกษตรไทย สู่เกษตรมูลค่าสูง  ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กรมวิชาการเกษตรกำหนดนโยบายในการพัฒนาสินค้าเกษตร รองรับภาวะโลกรวน และสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนาคต ???

กรมวิชาการเกษตร มุ่งยกระดับการเกษตรไทยสู่ศูนย์กลางการเกษตร อาหารปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของโลก โดยจัดตั้งกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และ การจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร โดยผลักดันโครงการพัฒนากระบวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตพืชเศรษฐกิจ นำร่องในกลุ่มพืชเศรษฐกิจสำคัญได้แก่ อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ยางพารา ทุเรียน และมะม่วง เพื่อรับรองคาร์บอนเครดิต

รวมทั้งปรับปรุงพัฒนาพันธุ์พืชให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing, GEd) ที่มีความปลอดภัยสูง และไม่เป็นพืช GMOs ไม่มีการตัดต่อ DNA จากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาในการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)   รวมถึงประเทศต่างๆ ให้การยอมรับและสนับสนุนเทคโนโลยีนี้เพราะมีความปลอดภัยสูง เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิต เพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร

Advertisement

มอง ‘โอกาสทางการตลาด’ ของสินค้าอาหารสุขภาพ Future Food และ Function Food อย่างไร

Advertisement

หลักการทำการเกษตรที่ดี นับเป็นหัวใจของการทำเกษตรในทุกๆเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลูกข้าวพืชผักสวนครัวหรือว่าพืชไร่ต่างๆ แม้กระทั่งพืชมูลค่าสูงไม่ว่าจะเป็นไข่ผำหรือว่าวานิลา ต้องดำเนินงานภายใต้มาตรฐาน  GAP ย่อมาจาก ( Good Agricultural Practice)ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรและมกอช. ได้ออกมาตรฐานความปลอดภัยของการผลิตพืช ไข่ผำ เพื่อเป็นแนวทางการจัดการปลูกผำให้ดีมีคุณภาพ

 

กรมวิชาการเกษตรได้เก็บรวบรวมสายพันธุ์ผำจาก 76 จังหวัดทั่วไทย ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากเพราะเป็นพืชใหม่ นักวิจัยของกรมวิชาการเกษตรได้ลงพื้นที่ไปเก็บรวบรวมสายพันธุ์ผำในแต่ละจังหวัดว่ามีกี่สายพันธุ์ วิจัยเรื่องคุณค่าทางอาหาร รวมทั้งเปอร์เซ็นต์โปรตีน  ได้ข้อสรุปว่า มีไข่ผำ  3 สายพันธุ์ที่มีโปรตีนสูงมาก เทียบเท่ากับโปรตีนจากเนื้อสัตว์  โดยสายพันธุ์เชียงรายมีโปรตีนสูงที่สุด 48% รองลงมาคือ สายพันธุ์นครราชสีมา โปรตีน 46% และอันดับ 3 คือ สายพันธุ์พะเยา โปรตีน 45% หลังกรมวิชาการเกษตรคัดเลือกผำสายพันธุ์ดีได้แล้ว ก็แนะนำให้พี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการใช้สายพันธุ์ผำ ที่มีคุณค่าโปรตีนสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมอาหาร

ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรให้ความสำคัญกับนโยบาย “ตลาดนำการวิจัย” โดยมุ่งพัฒนางานวิจัยให้ตรงกับความต้องการตลาด รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกรอย่างเป็นระบบ เช่น การพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพอากาศ และการแปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับประโยชน์สูงสุด นโยบายตลาดนำการวิจัย พัฒนาต่อยอดมาจากตลาดนำการผลิต เมื่อเรามีข้อมูลทางวิชาการที่แม่นยำแล้ว สามารถกำหนดชนิดของพืชที่จะส่งเสริมให้กับพี่น้องเกษตรกรได้เลือกใช้ตามสภาพพื้นที่   สำหรับกลุ่มอาหารแห่งอนาคต ผมอยากให้พวกเราให้ความสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การจัดการเกษตรที่ดี ( GAP )

นโยบาย “ตลาดนำการวิจัย” ของกรมวิชาการเกษตร จะขับเคลื่อนภาคการเกษตร เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตพืชมูลค่าสูงเชิงการค้า ได้อย่างไรบ้าง

กระทรวงเกษตร มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานอื่นๆ ดำเนินโครงการต้นแบบสินค้าเกษตรอาหารปลอดภัยมูลค่าสูง  76 จังหวัด โดยคัดเลือกตัวอย่างเกษตรกรดีเด่นเรียกว่า เศรษฐีเกษตรกรในแต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัดจำนวน  76 จังหวัด โดยดำเนินการมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว  โดยพบว่า เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนแต่ละปีจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ  5 ล้านบาทส่วนเกษตรกรผู้ปลูกวานิลลาหรือไข่ผำ มีรายได้ปีละหลายแสนบาท พอกรมวิชาการเกษตรคัดเลือกเศรษฐีเกษตรกรแล้ว ก็ให้กรมส่งเสริมการเกษตรช่วยขยายผล สร้างการรับรู้แก่เกษตรกรทั่วไป

ทางกรมวิชาการเกษตรมีเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงไข่ผำ ให้ได้มาตรฐานการผลิต เพื่อความปลอดภัยและตอบโจทย์ตลาดอย่างไร

แนวทางการผลิตพืชคาร์บอนต่ำ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยยกระดับการผลิตพืชที่มีความปลอดภัยและมีมาตรฐานสูง  โดยใช้โมเดลที่เรียกว่า ING model   ประกอบด้วย 1.Increase Productivity ใช้พันธุ์ดี มีคุณภาพ, พัฒนาพันธุ์ด้วยเทคนิค GEds ให้มีผลผลิตสูง 2. New Technology/Innovation ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สั่งการอย่างแม่นยำ เพื่อลดแรงงาน เช่น เครื่องจักรกล โดรนจัดการน้ำ ปุ๋ย  สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการลดต้นทุนแรงงาน 3. หัวใจสำคัญอยู่ที่การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือ Green Management ผลิตตามเกณฑ์มาตรฐาน GAP ให้เกิดความปลอดภัย และลดปัญหา PM 2.5 และ  การใช้สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อทดแทนการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี   นั่นก็คือการปรับตัวของเกษตรกรไทยสู่เกษตรมูลค่าสูง

ส่วนเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงไข่ผำ ให้ได้มาตรฐานการผลิต  ก็เริ่มจากการคัดเลือกสายพันธุ์ ตอบโจทย์มูลค่าสูงจริงๆ  ไปถึงเรื่องเวชสำอางค์ อาหารแห่งอนาคต จำเป็นต้องใช้สายพันธุ์ผำที่มีโปรตีนสูงแล้ว เรื่องแหล่งน้ำก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในอนาคตเราไม่สามารถเลี้ยงไข่ผำในบ่อซิเมนต์เพื่อนำมาแปรรูปเป็นเวชสำอาง ยาหรือเป็นอาหารของนักบินอวกาศได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการยกระดับมาตรฐานการผลิตไข่ผำให้ได้มาตรฐาน มกอช.และมาตรฐาน GAPของกรมวิชาการเกษตร โดยมีการดูแลควบคุมที่ดี ตั้งแต่การควบคุมแสง คุณภาพน้ำ และใช้สารอาหารที่เหมาะสม เพื่อทำให้ไข่ผำเจริญเติบโตได้รวดเร็ว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วกว่า 14 วัน

นอกจากการส่งเสริมการผลิตพืชมูลค่าสูงอย่างไข่ผำแล้ว กรมวิชาการเกษตรยังดูแลเรื่องการวิจัยกัญชงกัญชาเพื่อทางการแพทย์  การวิจัยพืชสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งเห็ดซึ่งเป็นพืชมหัศจรรย์ที่สร้างรายได้เสริมให้พี่น้องเกษตรกรได้เป็นอย่างดียิ่ง  โดยใช้พื้นที่ไม่มากแต่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ   สามารถขายเห็ดได้กก.ละไม่ต่ำกว่า 100- 200 บาท โดยกรมวิชาการเกษตรจัดตั้งศูนย์เห็ด ศึกษาพัฒนาสายพันธุ์เห็ดใหม่ๆ เพื่อพัฒนาเป็นเกษตรมูลค่าสูงได้อย่างหลากหลายมากขึ้น

ผมไม่อยากเห็นเกษตรกรปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างเดียว ผมสนับสนุนให้ปลูกพืชผสมผสานโดยน้อมนำเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรพอเพียงมาเชื่อมโยง เพราะเป็นคัมภีร์การทำเกษตรที่ยั่งยืน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูงเข้าไปเสริมเช่น พืชสมุนไพร เห็ด ไข่ผำ โดยกรมวิชาการเกษตรพร้อมเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำกับท่านได้ นอกจากนี้ สามารถลดระยะเวลาในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับปราชญ์เกษตรในหมู่บ้านหรือเศรษฐีเกษตร ในแต่ละจังหวัด ก็พร้อมจะแบ่งปันความรู้แก่ผู้สนใจ