ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นเอกชนเฮปรับเป้าเศรษฐกิจเติบโต

เอกชนปรับตัวเลขเศรษฐกิจยกแผง หลัง กกร.ปรับ GDP แตะ 4.0% ผลจากส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้น ด้านสภาผู้ส่งออกเชื่อเป้าส่งออกปี’60 ทะลุ 6% หาก 4 เดือนหลังทำได้เกิน 20,000 ล้านเหรียญ หวั่น กม.ศุลกากรใหม่กระทบวัตถุดิบนำเข้า-แผนการลงทุนเอกชน
นายเจน นำชัยศิริ
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า กกร.ได้ปรับตัวเลขจีดีพี ปี 2560 ขยาย 3.7-4.0% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.5-4.0% ซึ่งการปรับตัวเลขครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี โดยเป็นผลจากการขยายตัวของรายได้ภาคการท่องเที่ยวในเดือนตุลาคมมีสัญญาณดีขึ้น ประกอบกับการส่งออกไทยในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวระดับ 6.5-7.5% จากเดิม 3.5-4.5% จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดคู่ค้าสำคัญของไทย ทั้งสหภาพยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น มีแนวโน้มดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความเสี่ยงทั้งกรณีที่เหตุการณ์ความไม่สงบในตลาดสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของเยอรมนี และฝรั่งเศส ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังคงประเมินว่าจะอยู่ที่ 34 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปรับลดลงอยู่ที่ 0.5-1.0% จากเดิม 0.5-1.5%
ขณะที่ภาคการลงทุน ขณะนี้นับว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับที่จะลงทุนด้วยการส่งออกปรับตัวดี “เอกชนไทยส่วนใหญ่ลงทุนในพื้นที่ทั่วประเทศอยู่แล้ว จึงไม่ได้รอแค่ พ.ร.บ.อีอีซี ที่กระทรวงอุตสาหกรรมนำเข้า สนช.เรียบร้อยแล้ว อาจประกาศใช้ปลายปี 2560”
นายเจน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่ พ.ร.ก.การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2558 ที่ได้ประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 ซึ่งมีส่วนที่กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องดำเนินการตาม โดยมีบางมาตราที่อาจจะกระทบกับผู้ประกอบการ อาทิ มาตรา 8 ในเรื่องการให้สถาบันการเงินที่อยู่ในกำกับดูแล ใช้บัญชีและงบการเงินที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแสดงต่อกรมสรรพากรในการยื่นรายการภาษีเงินได้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562
ในวันเดียวกันนี้ นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวว่า สภาผู้ส่งออกคาดการณ์การส่งออกทั้งปี 2560 ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 6% จากเป้าหมายเดิม 5% เพราะในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) 2560 ส่งออกมูลค่า 153,623 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ทำได้เฉลี่ยเดือนละ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะทำให้ทั้งปีไม่ต่ำกว่าเป้าหมาย
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกขยายตัว เป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลดีต่อตลาดคู่ค้า เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ กลุ่มประเทศ CLMV ขยายตัว อีกทั้งทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการส่งออกที่ยังต้องติดตาม ยังเป็นเรื่องสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าและมีความผันผวน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน การกีดกันทางการค้าของสหรัฐ จากการออกประกาศไต่สวนเพื่อใช้มาตรการเซฟการ์ดสินค้าเครื่องซักผ้า ซึ่งภาครัฐควรเร่งส่งเสริมตลาดศักยภาพรองไว้รองรับหากเกิดปัญหาด้วย ส่วนอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ เช่น การขาดแคลนตู้บรรจุสินค้า การยกเลิกเที่ยวเรือ เป็นต้น ปัญหาคาบสมุทรเกาหลีเหนือที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมาถึงช่วงไตรมาสสุดท้ายด้วย
นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงจากผลการบังคับใช้ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 อาจกระทบต่อการบริหารจัดการวัตถุดิบขาเข้าของภาคการผลิต นโยบายส่งเสริมลงทุนภาคเอกชน และนักลงทุนต่างชาติ ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะมี MOU 7 ฉบับ เป็นสัญญาณที่ดี แต่อาจจะต้องเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายสินค้าจากจีนตอนใต้เข้าไทย พ.ร.บ.สรรพสามิตอาจกระทบต่อภาคการนำเข้า ส่งออก และ พ.ร.บ.การบริหารจัดการน้ำ ระหว่างเกษตรกรและโรงงานอุตสาหกรรม ที่ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดรูปแบบแนวทางการพัฒนาพื้นที่ EEC ให้มีความชัดเจน เพื่อส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการออกกฎหมายใหม่ แก้ไข ปรับปรุง พ.ร.บ. กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัวสำคัญ และออกมาก็ไม่ต้องการให้เกิดภาระต่อการส่งออกหรือผู้ประกอบการเอง

ขอบคุณข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ