ลุยปรับโฉมสถานีขนส่งหัวเมือง เป้า 5 แห่งใน 5 ปี เริ่มสร้างต้นปี’61 เชื่อมถนนขึ้นโทลล์เวย์แก้รถติด

นายเชิดชัย สนั่นศรีสาคร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยในการประชุมกลุ่มย่อย (โฟกัส กรุ๊ป) ครั้งที่ 1 โครงการศึกษาและจัดทำแผนแม่บทในการดำเนินการและการพัฒนาสถานีขนส่งคนโดยสาร ว่า โครงการดังกล่าวเป็นการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสารระยะ 20 ปี โดยเบื้องต้นจะจัดทำแผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วนภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้ดำเนินการนำร่องในกลุ่มสถานีขนส่งที่มีความสำคัญสูง 5 แห่งก่อน คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสงขลา สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดระยอง สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมา และสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ โดยแผนดังกล่าวจะดำเนินการได้แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2561 จากนั้นจะเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป

“การรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้เพื่อพิจารณาว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า สถานีขนส่งทั้ง 5 แห่งจะพัฒนาในรูปแบบใด เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบราง รวมถึงการเชื่อมโยงกับการขนส่งทางอากาศ เนื่องจากได้พิจารณาแล้วเห็นว่าถึงแม้ในอนาคตจะมีการเดินทางด้วยระบบราง หรือทางเครื่องบินมากขึ้น แต่การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดหรือรถทัวร์ยังสำคัญอยู่ เนื่องจากจะช่วยในการเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบราง หรือเครื่องบินไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้” นายเชิดชัย กล่าว

นายเชิดชัย กล่าวว่า สำหรับการย้ายสถานีขนส่งหมอชิต 2 กลับไปยังพื้นที่สถานีขนส่งหมอชิตเก่านั้น มีความชัดเจนแล้วว่าจะต้องย้ายกลับไปที่เดิมแน่นอน เนื่องจากกระทรวงคมนาคม มีแผนงานที่ชัดเจนแล้ว โดยจะใช้พื้นที่ประมาณ 1 แสนตารางเมตร ของบริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด หรือบีเคที ที่ได้รับสัมปทานให้พัฒนาเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่จอดรถรับส่งรถที่วิ่งระยะยาว ส่วนพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อจะใช้เป็นที่จอดรถรับส่งผู้โดยสารระยะทางสั้น

“ตอนนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างเจรจากับทางบีเคทีเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เพราะจะต้องมีการแก้ไขปัญหาจราจรด้วย โดยเบื้องต้นจะก่อสร้างทางเชื่อมจากสถานีขนส่งแห่งใหม่ไปยังทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ด้วย” นายเชิดชัยกล่าว และว่า ในส่วนของการพัฒนาพื้นที่ย่านหมอชิตเก่า คาดว่าทางบีเคทีจะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2561 โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี จึงจะแล้วเสร็จ จากนั้นจึงจะสามารถย้ายสถานีขนส่งแห่งใหม่เข้าไปได้

ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน