เกือบวุ่น!! รถเร่รับแลกโทรศัพท์เก่าเป็นกาละมัง ถูกกล่าวหาเป็นแก๊งค์ลักเด็ก

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ 31 ตุลาคม 60 ที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ชาวบ้านที่ยึดอาชีพรับซื้อโทรศัพท์เก่า ในพื้นที่ ต.หนองซอน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เดินทางมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน และยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดมหาสารคาม กรณีมีการส่งต่อความในเฟสบุ๊คว่ากลุ่มรับซื้อโทรศัพท์เก่า เป็นแก็งค์ลักเด็ก สร้างความลำบากในการใช้ชีวิต และการประกอบอาชีพ จึงได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือ

นางเย็นศิริ นามโส ตัวแทนกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารถเร่ ที่รับซื้อโทรศัพท์เก่า กล่าวว่า หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้เมื่อปี 59 กลุ่มรถเร่ของพวกตนที่นำกาละมังไปเร่ รับแลกโทรศัพท์เก่า ถูกกระแสโซเชี่ยลมีเดียโจมตีว่า พวกตนเป็นผู้ก่อการร้าย จะนำโทรศัพท์ที่รับแลกไปประกอบระเบิด ซึ่งตอนนั้นก็ได้เป็นข่าวไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง สังคมเกิดความเข้าใจ พวกตนก็สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ

แต่เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา กลับมีการสร้างกระแสในโลกออนไลน์อีกว่า พวกตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ตำบลหนองซอน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เป็นแก๊งค์ลักเด็ก โดยมีการโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค ยกตัวอย่างเช่น “ฝากระวังลูกหลานกันด้วยนะคะ รถกระบะที่มาขอแลกโทรศัพท์กับกาละมังเป็นแก็งค์ขโมยเด็ก ให้ระวังลูกหลาน” ทำให้พวกตนได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ บางรายที่ขับรถเข้าไปภายในหมู่บ้าน เพื่อประกาศรับแลกโทรศัพท์ ก็ปรากฏว่า ถูกชาวบ้านรวมถึงผู้นำชุมชน ไล่ออกจากหมู่บ้าน หรือมีการประกาศจากผู้นำชุมชนผ่านเสียงตามสายว่า ไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ ไม่ให้ชาวบ้านนำโทรศัพท์มาแลก เพราะถ้าชาวบ้านไม่นำโทรศัพท์มาแลก พวกตนก็จะไม่เข้ามาในพื้นที่อีก หรือพอรถเร่เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็จะเรียกลูกหลานเข้าบ้าน ไม่ให้มาใกล้พวกตน เพราะเข้าใจว่าพวกตนเป็นแก็งค์ลักเด็ก ซึ่งข้อกล่าวหานี้ ถือว่ารุนแรงมาก ทำให้พวกตนไม่สามารถทำมาหากินได้ตามปกติ จึงได้มายื่นหนังสือที่ศูนย์ดำรงธรรม และร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อขอความเป็นธรรม และให้ทำความเข้าใจกับคนที่โพสต์ข้อความว่า พวกตนเป็นคนทำมาหากิน ไม่ใช่แก็งค์ลักเด็ก

นอกจากนี้ยังมีบางข้อความระบุว่า หากเจอพวกตนที่ไหน ให้ยิ้งทิ้งทันที ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกตนเป็นอย่างมาก เพราะเกรงว่าเวลาเดินทางไปรับแลกโทรศํพท์เก่า จะไม่ได้รับความปลอดภัย ซึ่งตั้งแต่มีการกระจายข้อความอันเป็นเท็จบนโลกออนไลน์ ทำให้แต่ละวันจากที่เคยรับแลกโทรศัพท์ได้วันละ 70-80 เครื่อง กลับเหลือเพียงวันละไม่เกิน 10 เครื่อง

นายอนุชา แก้วเฮียง พ่อค้ารถเร่ กล่าวว่า ตนเองประสบเหตุ ในพื้นที่ตำบลหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยได้ขับรถเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากนั้น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้มาตรวจสอบ โดยได้ขอให้ตนแสดงบัตรประชาชน ตนก็แสดงบัตรให้ดู โดยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็ได้ถ่ายรูปรถและเลขทะเบียนรถของตนไว้ด้วย ถัดมาอีก 2 วัน จึงพบว่า มีการไปโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊ค โพสต์รูปบัตรประชาชนของตนและทะเบียนรถ ว่าให้ระวังรถของตน โดยบอกว่าตนเป็นแก็งค์ลักเด็ก ซึ่งตนเองเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงได้ขับรถจากปัตตานี กลับมาที่บ้านเกิดที่จังหวัดมหาสารคาม ระยะไปกลับกว่า 2,000 กิโลเมตร

นายอนันต์ โชติชัย พ่อค้าเร่อีกราย กล่าวว่า ตนเองได้ขับรถเร่รับแลกโทรศัพท์อยู่ที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เมื่อขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน ถูกชาวบ้านรวมกลุ่มกันขับไล่ บอกให้ออกไปจากหมู่บ้าน รุมด่าว่าเสีย ๆ หาย ๆ ว่าเป็นไอ้พวกลักเด็ก ซึ่งตอนนั้นตนเองตกใจมาก เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงได้ขับรถกลับมาตั้งหลักที่บ้านที่อำเภอเชียงยืน รวมระยะทางไปกลับกว่า 2,400 กิโลเมตร ซึ่งพวกตนอยากให้คนที่โพสต์ หรือแชร์ข้อมูลผิด ๆ ไป อยากให้แก้ข่าวให้ว่าพวกตนไม่ใช่แก็งค์ลักเด็ก ไม่คิดที่จะแจ้งความดำเนินคดีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะพวกตนคือคนทำมาหากิน หากเข้าไปหารับแลกโทรศัพท์ตามหมู่บ้านไม่ได้ ก็เหมือนว่าไม่มีหาทางให้ทำกิน อยากให้ชาวบ้านเข้าใจหัวอกคนหาเช้ากินค่ำ แต่ละครั้งที่ลงทุนซื้อของ ทั้งกาละมัง พลาสติกชนิดต่าง ๆ รวมถึงของกินของใช้ภายในครัวเรือนก็ลงทุนไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 บาท

ที่มา : มติชนออนไลน์