“แล็บประชารัฐ”โชว์ตรวจรังนกมาตรฐานสากลแห่งเดียวในไทย

นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย)จำกัด หรือ แล็บประชารัฐ กล่าวว่า แล็บประชารัฐ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ไอเอสโอ/ไออีซี 17025 ในรายการวิเคราะห์รังนกตามมาตรฐานส่งออกที่จีนยอมรับ ซึ่งตลาดหลักของไทยคือประเทศจีน โดยจีนต้องการรังนกแท้ที่ผ่านการตรวจรับรองมาตรฐาน หลังจากที่ก่อนหน้านี้จีนประกาศห้ามนำเข้ารังนกที่มีสารไนไตรท์ปนเปื้อนเกินที่ตามมาตรฐานกำหนด ซึ่งไนไตรท์ถือเป็นสารเริ่มต้นของสารก่อมะเร็ง ทำให้ประเทศไทยกับจีนเริ่มหารือกันในเรื่องดังกล่าว ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ในฐานะหน่วยงานด้านมาตรฐานของประเทศไทย และกรมปศุสัตว์ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องรังนกและผลิตภัณฑ์ ในการหารือความร่วมมือให้สามารถส่งรังนกเข้าจีนได้ตามข้อกำหนดดังกล่าว

“จีนได้กำหนดให้รังนกที่จะส่งเข้าจีนต้องมีการตรวจตามมาตรฐาน มีใบรับรองที่กรมปศุสัตว์เป็นคนออกให้ อาทิ เชื้อก่อโรค สารพิษปนเปื้อนคุณภาพทางเคมี ฯลฯ และอัตลักษณ์ของรังนกว่า เป็นรังนกแท้หรือรังนกเทียม รวมทั้งหมด 13 รายการ ซึ่งอาจตรวจทั้งหมดหรือตามความเสี่ยงที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ และจีนยังได้กำหนดว่า แล็บที่ตรวจสอบ ต้องได้การรับรองไอเอสโอ/ไออีซี 17025 ซึ่งแล็บประชารัฐได้รับการรับรองมาตรการนี้เพียงแห่งเดียวในไทย”นายสุรชัยกล่าว

นายสุรชัยกล่าวว่า สำหรับมูลค่าการส่งออกรังนกไทยไปจีน อดีตมีราคาส่งออกไม่ต่ำกว่า 150,000-200,000 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) โดยทางกรมปศุสัตว์ไทยและจีนได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วมีปริมาณราว 8,000 กก.ต่อปี หรือปีละประมาณ 500 ล้านบาท และหลังจากที่จีนระงับการนำเข้ารังนกจากไทย ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคของจีน ได้ออกประกาศอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์รังนกของไทย โดยในระยะแรกให้นำเข้ารังนกที่มีสีขาว เหลือง หรือ ทอง ส่วนรังนกแดงยังไม่ให้นำเข้า โดยจีนขอพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมก่อน ทั้งนี้ รังนกที่ส่งออกจากไทยไปจีน ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนแหล่งผลิตและมีใบรับรองจากกรมปศุสัตว์ ดังนั้นหากผู้ประกอบการรายใดที่จะส่งออกรังนกไปจีน สามารถนำสินค้ามาผ่านการตรวจวิเคราะห์ได้ที่ แล็บประชารัฐ โดยจะใช้เวลาในการตรวจสอบประมาณ 7 วัน ทั้งนี้ การตรวจสอบรังนกนอกจากจะเป็นการตรวจสอบตามมาตรฐานการส่งออกแล้ว ยังจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

 

ที่มา : มติชนออนไลน์