เสี่ยปัตตานีโวย เจอสลับไม้กฤษณาของกลาง จาก 65 ล้านเหลือหมื่นเดียว

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีนายอัมราญ ฮาลาบี อายุ 52 ปี เป็นนักธุรกิจในพื้นที่ จ.ปัตตานี เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับ “มติชน” เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่รัฐยักยอกของกลางเป็นแก่นไม้กฤษณาเกรดชั้นเยี่ยมรวมมูลค่ากว่า 65 ล้านบาทไป สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2559 ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจบ้านควนมีด หมู่ 1 ต.จะโหนง อ.จะนะ จ.สงขลา รวม 13 นาย ได้จับกุม นายสุเวช ฮาลาบี อายุ 52 ปี และนางสาว หง ภรรยาชาว สปป.ลาว ของนายสุเวช พร้อมตรวจยึดแก่นไม้กฤษณา น้ำหนักรวม 13.20 กิโลกรัม ตกเป็นของกลาง แม้ว่านายสุเวชจะปฏิเสธว่าแก่นไม้กฤษณานั้นไม่ใช่ของผิดกฎหมาย

ไม้กฤษณาเดิม

นายอัมราญเผยต่อว่า นายสุเวชเป็นลูกน้อง ตนได้มอบหมายให้ช่วยขับรถยนต์นำไปส่งกับตัวแทนบริษัทต่างประเทศที่ตกลงรับซื้อแล้ว โดยแก่นไม้กฤษณาที่ให้นำไปมีน้ำหนักรวม 13.20 กิโลกรัม เป็นระดับเกรดจักรพรรดิ Super AAAA รูปพรรณเป็นแก่นเนื้อแข็ง สีดำ ส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา ตีมูลค่าการซื้อขายรวมประมาณ 65 ล้านบาท

ผมขับรถยนต์ตระเวนไปหาซื้อมาจากชาวบ้านในแถบภาคใต้ ค่อยๆ สะสมมานานกว่า 30 ปี ไม้กฤษณาดังกล่าวเป็นระดับเกรดจักรพรรดิ ซุปเปอร์ เอเอเอเอ รูปพรรณเป็นแก่นเนื้อแข็ง สีดำ ส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา ตัวผมยังประกอบอาชีพมีกิจการโรงพิมพ์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี และธุรกิจเริ่มมีปัญหา มีหนี้สินกับเจ้าหนี้และติดเงินค่าจ้างลูกน้อง จึงเอาไม้กฤษณาราคาแพงลิบลิ่วขายออกไปเพื่อใช้เคลียร์หนี้ทั้งหมด ระหว่างให้ลูกน้องเอาไปขายก็มาถูกจับกุม เนื่องจากนางสาวหง ภรรยาของลูกน้อง ไม่มีเอกสารเข้าเมือง นายสุเวชเลยถูกตั้งข้อหานำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรและนำเข้าไม้กฤษณาโดยไม่ถูกต้องŽ

นายอัมราญกล่าวต่อว่า พอทราบข่าวลูกน้องถูกจับและไม้กฤษณาทั้งหมดถูกยึดไปเป็นของกลาง ผมจ้างทนายเข้าต่อสู้คดีตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม

ผมได้ประกับตัวนายสุเวชออกมา ใช้วงเงิน 3 แสนบาท ส่วนนางสาวหงถูกอายัดตัวไปยังผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนาทวี โดย พ.ต.ท.อาทร ปิยะพงศ์ รอง ผกก.สอบสวน รักษาราชการแทน ผกก.สภ.ควนมีดขณะนั้นเป็นคนลงนาม ต่อมามีการบันทึกแจ้งผลการตรวจไม้ของกลางดังกล่าว โดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา) มายัง ผกก.สภ.ควนมีดŽ

Advertisement

Advertisement

ไม้กฤษณาของกลางที่เปลี่ยนไป

นายอัมราญกล่าวต่อว่า การจับกุมดังกล่าว พนักงานอัยการส่งฟ้องนายสุเวช ฮาลาบี กับภรรยาชาวลาวต่อศาลจังหวัดนาทวี เป็นคดีหนึ่ง และแยกคดีไม้ของกลางอีกคดีหนึ่ง ต่อมา ศาลจังหวัดนาทวี ได้มีคำพิพากษา นางสาวหง สัญชาติลาว มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ส่วนนายสุเวชให้ความร่วมมือเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยกเว้น ส่วนคดีไม้ของกลาง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ศาลจังหวัดนาทวีมีคำพิพากษาในส่วนของกลางไม้กฤษณาให้คืนพร้อมเครื่องชั่งดิจิทัลของกลางแก่เจ้าของไป คดีถึงที่สุดไม่มีคู่ความอุทธรณ์

“หลังศาลตัดสินมาเกิดปัญหามีการสลับเปลี่ยนไม้กฤษณาของกลาง จากมูลค่าของไม้รวม 65 ล้านบาท กลายเป็นไม้เกรดต่ำแค่หมื่นกว่าบาท โดยช่วงขอไม้ของกลางคืนนั้น นายสุเวช ลูกน้องผมได้ร้องขอคืนของกลางตามระเบียบหลายครั้ง ระหว่างตำรวจ สภ.ควนมีดกับสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา) ตอนแรกไม่มีใครให้คำตอบถึงของกลางที่ชัดเจน กระทั่งมีการนัดตรวจรับของกลางที่อ้างว่าส่งเก็บไว้ที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา) เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2560 เวลาประมาณ 11.00 น. พวกผมจึงเดินทางไปเพื่อรับไม้กฤษณาคืน เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้และตำรวจ สภ.ควนมีด ตรวจของกลางและส่งมอบคืน ปรากฏว่าไม่ใช่ไม้กฤษณาของผมที่ถูกยึดไป แต่เป็นเศษไม้กฤษณามีสีขาว ราคาถูกน้ำหนักชั่ง 7.8 กิโลกรัมเท่านั้น นายสุเวชจึงไม่รับคืน”

นายอัมราญ กล่าวอีกว่า รูปพรรณไม้ของผมกับที่เอามาคืนมันคนละอย่าง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ควนมีดที่ตรวจนับยังบอกเลยว่า ไม้ของกลางที่ป่าไม้เอามาคืนไม่ใช่ของกลางที่ยึดไป ตำรวจยืนยันว่าไม่ใช่ ส่วนผมตอนนั้นยอมรับไม่กล้าพูดอะไรออกมา รู้ว่าขบวนการยักยอกไม้ของกลางและสับเปลี่ยนของกลางมีหลายคน ของผมมีมูลค่า 65 ล้านบาท แต่ที่ป่าไม้เอามาคืนราคาแค่หมื่นกว่าบาท เมื่อก่อนผมเคยขายไม้กฤษณาชั้นเยี่ยมตัวเดียว 2-3 ล้านก็เคยขายมาแล้ว แต่ของกลางผมกลับหายไปหมด คำสั่งศาลก็ให้คืนของกลาง ถ้าจะให้ผมไปฟ้องแพ่งผมก็ต้องหาเงินไปเป็นค่ามัดจำศาลอีก ใช้เวลาอีกมากมายในขั้นตอนของศาล ถ้าเป็นชาวบ้านเจออย่างนี้จะเอาอะไรไปสู้คดี

ของกลางผมหายไปหมด ผมมีแค่รูปถ่ายของจริงยืนยันเท่านั้น ถ้าต่อสู้ทางคดีต้องใช้เงิน ต้องร้องเรียนไปเรื่อยๆ ตอนจับลูกน้องผมนั้นรวดเร็วมาก แต่ผมรอถึง 2 ปี ในการต่อสู้คดีไม้ของกลางและได้คืนกลับมา ด้วยอิทธิพลมืดที่ทำให้ผมเวลานี้ไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ของผมได้ ผมต้องเก็บตัวเงียบ บางวันต้องอาศัยนอนในรถยนต์ที่ปั๊มน้ำมัน แล้วระหว่างนี้ผมต้องหาเงินจากการค้าขายไปด้วย เจ้าหนี้มารุมล้อมผม ลูกจ้างผมก็รอผมคืนเงินค่าจ้างŽ

นายอัมราญกล่าวต่อว่า รู้สึกท้อแท้มาก งานการไม่เหมือนเดิม เจ้าหนี้ก็ไม่เชื่อใจ กลายเป็นคนถูกบอกว่าหลบหนี หลอกลวงเจ้าหนี้

ทุกวันนี้ที่ต่อสู้เพราะยังเชื่อมั่นในตัวผู้บริหารประเทศ แต่เข้าใจท่านนายกฯทำงานคนเดียวไม่ทัน ต้องมีคนช่วยทำงานรอบข้าง ที่สำคัญผมเข้าไปไม่ถึงนายกฯ หากมีโอกาสอยากเรียนชี้แจง ยิ่งตอนไปรับไม้ของกลาง ผมยังนัดเจ้าหนี้ด้วยซ้ำให้มารอรับเงินได้เลยจะเอาไปขาย แต่พอเห็นของกลางแล้วไม่ใช่ ผมไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจว่าไม่ใช่ ตอนนี้ผมเร่ร่อนออกจากบ้านมาเกือบสองปี ไม่กล้าเจอหน้าลูกน้อง บางคนเข้าใจหาว่าผมตัดช่องน้อยแต่พอตัว ผมอยากไปฟื้นฟูกิจการทั้งโรงพิมพ์ที่เคยทำไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษเมื่อ 80 ปีที่แล้ว และอีกไม่กี่วันที่ดินที่ตั้งโรงพิมพ์ก็กำลังถูกธนาคารยึดแล้วŽ นายอัมราญกล่าว

รายงานข่าวเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายอัมราญ ฮาราบี เข้าพบ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รรท.รอง ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมยื่นหนังสือร้องทุกข์จำนวน 1 ชุด 16 หน้า นำเสนอต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ที่ไม่คืนไม้ของกลางตามคำสั่งศาลจังหวัดนาทวี มีพฤติการณ์ยักยอกไม้แก่นกฤษณาของกลางน้ำหนัก 13 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 65 ล้านบาท โดย พล.ต.อ.วิระชัยได้รับเรื่องร้องเรียน พร้อมส่งเรื่องไปยังฝ่ายเลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงรับคำร้องตามหนังสือร้องทุกข์เลขที่ลงรับ ตร.ที่ 1137 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 เพื่อนำเสนอถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามขั้นตอน เพื่อดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ชัดเจนต่อไป โดยทางเจ้าหน้าที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ความจริงปรากฏแก่สังคมและส่วนรวมอย่างแท้จริง

นายชาญชัย กิจศักดาภาพ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ และผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ไม้ กรมป่าไม้ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2559 มีพนักงานสอบสวน จากสภ.ควนมีด ได้นำไม้ของกลางที่อยู่ในกระเป๋า 2 ใบ และลังกระดาษ 1 ลัง มาส่งที่สำนักงานทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 แล้วบอกว่าขอให้ตรวจพิสูจน์ว่าเป็นไม้กฤษณาหรือไม่ หากเป็นไม้กฤษณา ประชาชนสามารถครอบครอบได้จำนวนเท่าไร ตนในฐานะผู้ที่ผ่านการอบรมเรื่องการตรวจพิสูจน์ไม้ก็ได้นำไปตรวจพิสูจน์ และทำหนังสือตอบกลับว่า เป็นไม้กฤษณาจริง ประชาชนสามารถครอบครองได้ไม่เกินครัวเรือนละ 0.5 กิโลกรัม แต่หากเป็นไม้ขึ้นในป่า จะมีสถานะเป็นไม้หวงห้าม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีหนังสือมาที่สำนัก 13 อีกครั้งว่าระหว่างที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีนั้นจะให้ป่าไม้เป็นผู้เก็บรักษาของกลางเอาไว้ก่อน ตามข้อตกลงร่วมกันเรื่องการเก็บของกลางในส่วนของคดีป่าไม้ ทางสำนัก 13 จึงนำไปเก็บเอาไว้ที่หน่วยรักษาป่า นาทวี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุ

“หากจะเกิดความผิดพลาดในส่วนของป่าไม้ก็คงผิดพลาดตรงนี้ ระหว่างที่เรารับมอบของกลางจากตำรวจเพื่อนำไปเก็บไว้ที่นาทวีนั้น เราไม่ได้ทำบันทึกส่งมอบกัน จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี ปรากฏว่าเจ้าของไม้เป็นฝ่ายชนะคดี เพราะตำรวจไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม้กฤษณาดังกล่าวเป็นไม้ที่นำออกมาจากป่า ทางตำรวจก็ทำหนังสือมาที่สำนักเพื่อขอของกลางคืน ครั้งแรกที่ไปรับของกลางคืนนั้นเจ้าของปฏิเสธ บอกว่าไม่ใช่ไม้ของตัวเอง จึงไม่มีการรับมอบกัน ต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน มีคำสั่งจากสำนักให้ผมในฐานะพยาน เพื่อเปิดและส่งมอบของกลางอีกครั้ง ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ไม้กฤษณาหากทิ้งไว้นานๆ เนื้อไม้จะแห้งลง ตอนที่ตรวจวันแรกนั้น เนื้อไม้มีสีน้ำตาลเข้มและมีลายขาวของเยื่อไม้ วันที่ส่งมอบของคืนนั้นไม้กลับมีสีซีดลง มีสีขาวเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะผุเปื่อย บางส่วนฉีกขาดออกมา เมื่อส่งมอบแล้วก็ได้มีการลงบันทึกประจำวันเอาไว้” นายชาญชัยกล่าว

เมื่อถามว่า ตอนที่ตรวจพิสูจน์มีการตรวจละเอียดแค่ไหนในความเป็นไม้กฤษณา เช่นไม้เกรดอะไร นายชาญชัยกล่าวว่า ไม่ได้ตรวจขนาดนั้น แค่พนักงานสอบสวนถามว่าเป็นไม้กฤษณาหรือไม่ ก็ตอบว่า เป็นไม้กฤษณา ส่วนเรื่องเกรด ราคา นั้นเป็นเรื่องของตลาดการค้า ในความรู้ทั่วไปของตน ไม้กฤษณามี 4 เกรด ดีที่สุดคือ สีน้ำตาล ออกดำ จมน้ำ เพราะมีมวลเยอะ ราคาแล้วแต่ตกลงกันในตลาดอาจจะ 1.5-3 หมื่นบาท ที่เหลือราคาก็ลดหลั่นลงมาตามลำดับ

เมื่อถามว่า มีการกล่าวหาว่าไม้ถูกเปลี่ยนจริงหรือไม่ นายชาญชัยกล่าวว่า ข้อนี้ก็ต้องพิสูจน์กันไป ก็ให้ความเห็นในฐานะนักวิชาการ หากมีการฟ้องร้องกันต่อก็คงต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันต่อ

 

ที่มา : มติชนออนไลน์