สกว.จับมือสสจ.หนองบัวลำภูแก้ปัญหาพาราควอตตกค้าง

นักวิจัย สกว. จากมหาวิทยาลัยนเรศวร นำทีมลงพื้นที่หาปัจจัยของสารเคมีทางการเกษตรต่อการเป็นโรคเนื้อเน่าร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู หลังมียอดผู้ป่วยนับร้อยราย พบเกษตรกรใช้พาราควอตเข้มข้นและคาดนำเข้ากว่าปีละ 8 แสนลิตร พ่อเมืองสั่งเร่งหาสาเหตุและการแก้ปัญหาสู่ “หนองบัวลำภูโมเดล” และขยายผลในภาคอีสานตอนบน

จากสถิติปัญหาของโรคเนื้อเน่านับตั้งแต่ปี 2557 ของโรงพยาบาลหนองบัวลำภู ซึ่งมีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวประมาณปีละ 120 ราย โดยในปีล่าสุด 2560 พบว่าในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ 102 ราย เสียชีวิตแล้ว 6 ราย ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับสารเคมีทางการเกษตร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภูจึงได้ติดต่อขอให้ รศ. ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล นักวิจัย สกว. จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ดำเนินการวิจัยเพื่อหาการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรในพื้นที่ และความสัมพันธ์ของสารเคมีเหล่านี้กับการเกิดโรคเนื้อเน่า

คณะวิจัยของ รศ. ดร.พวงรัตน์ได้ร่วมดำเนินการวิจัยกับ ทพญ.วรางคณา อินทโลหิต จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู และ ดร.ภาสกร บัวศรี ผู้ประสานงานและนักวิจัยท้องถิ่น สกว. โดยลงพื้นที่เก็บข้อมูลสถิติ สัมภาษณ์เกษตรกรและผู้ป่วย รวมทั้งเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมเพื่อวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในดิน ตะกอนดิน น้ำในลำน้ำ อ่างเก็บน้ำ และผัก ในเขตพื้นที่อำเภอสุวรรณคูหา เพื่อให้ได้ภาพเบื้องต้นของปัญหาที่เกิดขึ้น จากการลงพื้นที่พบว่าเกษตรกรใช้สารเคมีหลายชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเสต อาทราซีน และอามิทรีน ในการกำจัดวัชพืชในแปลงของไร่ยางพาราและไร่อ้อย ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเกษตรกรได้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นจำนวนมาก และใช้สารพาราควอตเป็นสารเคมีหลัก ทำให้มีการนำเข้าสารดังกล่าวมากกว่า 3 แสนลิตร คาดว่าทั้งจังหวัดจะมีการใช้สารมากกว่า 8 แสนลิตรต่อปี จากการสัมภาษณ์พบว่าเกษตรกรนิยมใช้สารเคมีพาราควอตอย่างเข้มข้นมากกว่าที่ฉลากระบุถึง 4 เท่า โดยผสมสารพาราควอต 400 มิลลิลิตรกับน้ำ 20 ลิตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนเข้มข้นสูงมาก ทำให้มีโอกาสของเกิดการตกค้างของสารเคมีในอ่างเก็บน้ำและลำน้ำในพื้นที่ในระดับความเข้มข้นที่สูงจนก่อให้เกิดอันตรายได้

ผลของงานวิจัยในส่วนของการเจ็บป่วยของเกษตรกร พบว่าพื้นที่ของจังหวัดหนองบัวลำภูมีผู้ป่วยด้วยโรคเนื้อเน่าเป็นอันดับ 1 ของผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลหนองบัวลำภูตั้งแต่ปี 2553-2556 ปีละ 100-140 คน ส่งผลทำให้พิการหรือเสียชีวิตเกือบร้อยละ 10 ของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามักมีการสัมผัสกับน้ำในลำน้ำ นาข้าว หรืออ่างเก็บน้ำเป็นเวลานาน หลายรายมีบาดแผลในบริเวณแขน ขา จากการทำงานและไปล้างตัวในแหล่งน้ำที่รองรับสารเคมีทางการเกษตรดังกล่าว อาการผื่นบนผิวหนัง คัน และเกิดแผลไหม้ในบริเวณผิวหนังที่สัมผัสร่วมกับอาการเป็นไข้สูง เป็นอาการเริ่มต้นของโรคเนื้อเน่ามักเกิดขึ้นภายในเวลา 1-2 วัน ซึ่งต้องนำส่งผู้ป่วยเข้าสู่โรงพยาบาลโดยด่วน

จากสถิติของการรักษาโรค พบว่าผู้ป่วยหลายรายต้องถูกตัดอวัยวะขาหรือแขนเพื่อรักษาชีวิตไว้ โดยทางแพทย์ได้วินิจฉัยถึงการเป็นโรคที่มาจากแบคทีเรียเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งอยู่ในกลุ่มของแบคทีเรียชนิดไม่ใช้อากาศ เช่น Bacteroides fragilis, Clostidium, Pepto Streptococcus และแบคทีเรียชนิดใช้อากาศ เช่น E.Coli, Enterobacter, Klebsiella, Proteus, non- group A streptococcus ซึ่งรวมถึงแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ แบคทีเรียเหล่านี้มักพบในแหล่งน้ำจืด ซึ่งจากผลการวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในตัวอย่างสิ่งแวดล้อมโดยคณะนักวิจัย ได้ยืนยันว่าตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทั้ง ดิน ตะกอนดิน ลำน้ำ และอ่างเก็บน้ำที่นำมาตรวจสอบนั้นมีการตกค้างของสารเคมีพาราควอตในทุกตัวอย่าง และอยู่ในระดับความเข้มข้นที่สูง ในขณะที่มีการตรวจพบสารเคมีทางการเกษตรชนิดอื่น ๆ ในปริมาณต่ำมาก จึงมีแนวโน้มว่าแหล่งน้ำทั้งอ่างเก็บน้ำและลำน้ำในพื้นที่มีทั้งสารเคมีพาราควอตและเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ร่วมกัน ทั้งนี้ต้องมีงานวิจัยทางการแพทย์ระบุถึงความเชื่อมโยงของปัจจัยในการเกิดโรคทั้งสองส่วนต่อไป

รศ. ดร.พวงรัตน์เผยว่า ตนและคณะวิจัยได้นำเรียนผลการวิจัยดังกล่าวต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะผู้บริหารจังหวัดหนองบัวลำภู โดยทางจังหวัดได้มอบนโยบายให้มีการดำเนินการค้นคว้าวิจัยเพื่อแก้หาสาเหตุและการแก้ปัญหาการเจ็บป่วยของโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทางการเกษตรอย่างเร่งด่วน โดยมอบให้ทางนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการระดับจังหวัด โดยความร่วมมือของสำนักงานเกษตรจังหวัด และให้มหาวิทยาลัยนเรศวรเสนอรายชื่อคณะนักวิจัยและดำเนินการวิจัยร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ “หนองบัวลำภูโมเดล” ในการแก้ปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งมอบนโยบายเกษตรอินทรีย์ยั่งยืนซึ่งทางจังหวัดได้ดำเนินการมาแล้วใน 58 ชุมชน โดยใช้ศาสตร์ของพระราชาในการปลูกพืชปลอดสารเคมีมาใช้ควบคู่กันไปกับการแก้ปัญหาโรคจากสารเคมีทางการเกษตร เพื่อนำขยายผลการแก้ปัญหาไปสู่พื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ในภาคอีสานตอนบน ซึ่งประสบปัญหา “โรคเนื้อเน่า” อยู่ในลักษณะเดียวกันในหลายจังหวัดต่อไป