กางตำรารับมือ ‘อาคันตุกะ’ หน้าฝน ย้ำ ‘งูกัด-ขันชะเนาะ’ ไม่ช่วยอะไร

หน้ามรสุมมาแล้ว สิ่งที่สร้างความหวาดหวั่นไม่เพียงมวลน้ำก้อนใหญ่-ฝันร้ายของคนเมือง ยังมีบรรดาสัตว์ที่หลบน้ำท่วมมาขออาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต

หนึ่งในนั้นที่เจอะเจอค่อนข้างบ่อยก็คือ งู

โดยเฉพาะบ้านจัดสรรที่มีทุ่งหญ้าเขียวจขีอยู่ข้างๆ หรือหลังบ้าน แต่เผลอไผลไม่นานก็สูงท่วมแข้งเข่า กลายเป็นที่ซ่อนตัวของบรรดางูเงี้ยวเขี้ยวขอ บางบ้านอาจจะได้น้องเหมียวหรือน้องหมาเป็นปราการด่านแรก

แต่ทว่าจะรู้ได้อย่างไรว่างูตัวไหนมีพิษหรือไม่มีพิษพอที่สามารถวางใจให้น้องเหมียวหรือน้องหมาเป็นธุระให้ได้?

ในที่ประชุมพิษวิทยา ซึ่งสมาคมพิษวิทยาแห่งประเทศไทย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ผศ.นพ.สุชัย สุเทพารักษ์สาขาวิชาพิษวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นบรรยายให้ความรู้ว่า งูพิษกัดยังเป็นปัญหาสาธารณสุขในประเทศไทย

ผศ.นพ.สุชัย สุเทพารักษ์
ผศ.นพ.สุชัย สุเทพารักษ์

จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วย

ถูกงูกัดประมาณ 5,000 รายต่อปี อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ป่วยลดลงเหลือประมาณ 2,000 รายต่อปีในปี 2557

Advertisement

ทั้งนี้ งูพิษที่สำคัญในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ กล่าวคือ

1.งูที่มีพิษต่อระบบประสาท คือ งูเห่าไทยและงูเห่าพ่นพิษสยาม งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูสามเหลี่ยงหางแดง

Advertisement

สังเกตว่าผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น หนังตา มีอาการหนังตาตกซึ่งต่อมาจะเป็นมากขึ้น กลืนลำบาก พูดไม่ชัด สำลัก แขนขาอ่อนแรง หายใจไม่สะดวก และสุดท้ายจะหยุดหายใจ

“ในภาพยนตร์หรือละครที่บอกว่าให้เขย่าตัว อย่าให้หลับ ที่จริงแล้วไม่เกี่ยวแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะหนังตาตก ซึ่งบ่อยครั้งที่คนไข้อยู่ในห้องไอซียู หมอทำอะไร รู้ตัวตลอด เพียงแต่ขยับตัวไม่ได้ และพูดไม่ได้เท่านั้น”

อาจารย์หมอสุชัยบอก และว่า ในกลุ่มนี้ งูเห่าและงูสามเหลี่ยม จะมีความคล้ายคลึงกันมากตรงที่คนไข้เสี่ยงต่อการหยุดหายใจเหมือนกัน แต่ความแตกต่างอยู่ที่ลักษณะของบาดแผล

งูเห่า งูจงอาง กัดแล้วแผลฟกช้ำดำเขียวมาก สุดท้ายก็จะมีเนื้อตาย

แต่งูสามเหลี่ยมแทบจะไม่มีแผลเลย มีแค่รูเล็กๆ 2 รู เจ็บนิดเดียว อย่างมีครั้งหนึ่งที่ญาติคนไข้เชื่อว่าคนไข้เป็นโรคไหลตาย แต่มาเจอว่าถูกงูกัด

2.งูที่มีพิษต่อระบบโลหิต คือ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ แยกความแตกต่างกันที่บาดแผล ถ้าเป็นงูแมวเซาแผลจะไม่บวมมาก แต่ถ้างูเขียวหางไหม้แม้พิษไม่มาก แต่แผลจะบวมมาก ที่สำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการถูกกัดที่ปลายนิ้ว เพราะพิษจะไม่ไปไหน เป็นผลให้นิ้วเน่า แต่ถ้ากัดที่อื่นพิษกระจายทั่วตัว สามารถขับออกได้

งูกะปะ กัดแล้วจะมีถุงน้ำ อาจมีตุ่มน้ำเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงปลายแขนปลายขาไม่ได้ ทำให้เนื้อตาย ผู้ป่วยถูกงูกะปะหลายรายจึงต้องตัดแขนตัดขาเพราะเนื้อตาย

งูกลุ่มนี้ อาจารย์หมอสุชัยบอกว่า ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดในภูมิภาคนี้คือ “งูแมวเซา” เพราะนอกจากจะทำให้เลือดออกเป็นจำนวนมากแล้ว ยังทำให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะในประเทศพม่า ซึ่งหนึ่งในสามของผู้ป่วยที่เป็นไตวายเฉียบพลันมาจากถูกงูแมวเซากัด

3.งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ คือ งูทะเล งูแมวเซา ซึ่งผู้ป่วยที่ถูกงูทะเลกัดแยกแยะได้ง่ายที่สุด เนื่องจากจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อทั้งตัว ปัสสาวะสีเข้ม และปัสสาวะออกน้อย

4.งูที่มีพิษอ่อน เช่น กลุ่มงูพิษเขี้ยวหลัง ได้แก่ งูปล้องทอง งูต้องไฟ งูลายสาบคอแดง งูหัวกะโหลก ฯลฯ ซึ่งกลุ่มนี้มักไม่มีอาการ หรือมีเพียงแค่ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ถูกกัด แต่ก็มีรายงานการเป็นพิษต่อระบบโลหิตจากการถูกงูลายสาบคอแดงกัดและเสียชีวิตในรายที่รุนแรง

“งูพิษที่มักเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต ได้แก่ งูเห่า งูทับสมิงคลา และงูกะปะ โดยงูพิษที่พบว่ามีผู้ถูกกัดบ่อยที่สุดคือ งูเขียวหางไหม้ และงูกะปะ”201608111842071-20041020133743-768x431สิ่งที่ควรจะรู้คือ คนไข้ถูกงูกัด ต้องไม่วิ่งมากๆ เพราะเมื่อเลือดมีการบีบตัวมาก พิษงูก็จะดูดซึมได้ง่ายขึ้น

ที่สำคัญคือ การ “ขันชะเนาะ” ควรเลิกทำได้แล้ว เพราะมีข้อพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นประโยชน์ และถ้าขันแน่นเกินไปจะยิ่งเป็นผลเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

“ปัจจุบันเราสอนการปฐมพยาบาลว่าไม่ให้ขันชะเนาะ ทั้งๆ ที่เรารู้ข้อมูลนี้มา 20 ปีแล้ว แต่สำหรับประชาชนยังทำอยู่ เพราะอะไร เพราะยังเขียนอยู่ในตำราสุขศึกษา ป.1-ป.4”

นอกจากนี้เรื่องของการดูดพิษงู ไม่ควรทำ รวมทั้งการทายาที่บาดแผล เพราะวิธีการเหล่านี้กลับจะทำให้แผลติดเชื้อมากขึ้นไปอีก

เมื่อถูกงูกัด วิธีง่ายๆ คือ พยายามมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด บางคนถูกงูกัดขึ้นไปควานหาไม้หน้าสามมาตีงูเพื่อนำมาโรงพยาบาล แต่ก็เจอบ่อยว่า งูที่นำมาเป็นคนละตัวกับงูที่กัด ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องตีงูมาให้ดู แต่พาตัวเองมาหาหมอโดยเร็วเป็นดีที่สุดในกรณีของการถูกงูพิษกัด ถ้าอาการเหมือนจะหลับ นั่นคืออาการอัมพาต ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งมีเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่ถ้าคนไข้หมดสติ สิ่งที่ช่วยได้คือ ให้รีบผายปอด

ทั้งนี้ ในประเด็นของถิ่นที่อยู่อาศัยของพิษงูนั้น ถ้าเป็น “งูแมวเซา” จะพบมากในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก “งูกะปะ” มีชุกชุมในภาคใต้และภาคตะวันออก “งูเขียวหางไหม้” มีมากในกรุงเทพมหานคร ส่วน “งูเห่า” พบได้ทั่วประเทศไทย

งูที่มักพบเจอตามบ้าน ผศ.นพ.สุชัยบอกว่า มีด้วยกัน 3 ชนิดคือ งูเห่า งูเขียวหางไหม้ และงูกะปะ

“สำหรับคนทั่วไปการจะแยกแยะว่างูตัวไหนมีพิษหรือไม่มีพิษไม่ง่ายต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะลำพังงูเขียวกับงูเขียวหางไหม้บางครั้งก็แยกไม่ออก เพราะงูเขียวหางไหม้บางตัวที่หางก็ไม่ไหม้ ทางที่ดีคือ โทรเรียกเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้มาจัดการจะดีที่สุด

หรือถ้าจวนตัวจริงๆ ให้หาไม้ยาวๆ เขี่ยให้ออกห่างจากตัว หรือหาถังครอบไว้ แล้วรอเจ้าหน้าที่มาจัดการต่อ”

กรณีที่ต้องเผชิญหน้ากับงูเห่า หรืองูจงอาง เนื่องจากงูทั้งสองชนิดนี้เป็นงูที่ต้องยกตัวขึ้นสูงเวลาที่จะฉก เพราะเขี้ยวสั้นมาก จึงต้องโยกตัวเพื่อให้มีแรงเหวี่ยงในการฉก เมื่อปะหน้าให้ถอยหลังยาวๆ 1 ก้าวคะเนให้พ้นรัศมีการยกตัวของงู จากนั้นให้รีบหันหลังวิ่งหนีในทันที

“ถ้าเป็นจงอาง ซึ่งเป็นงูใหญ่ พิษเยอะ และพิษมีความเหนียวมาก เมื่อกัดแล้วจะกัดคาค่อยๆ ปล่อยพิษ ให้ช่วยกันง้างปากงูออก ซึ่งบางคนเอามีดสับหัวงูหิ้วมาที่โรงพยาบาลเลยก็มี แต่ถ้างูแค่ฉกแล้วหนีไป เช่นในกรณีที่งูตกใจจะไม่ปล่อยพิษ”

อย่างไรก็ตาม อาจารย์หมอสุชัยย้ำว่า จะให้ดีในหน้าฝนนี้เพื่อเป็นการป้องกันงูในเบื้องต้น สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือ พยายามตรวจดูรอบบ้านอย่าให้มีรูหรือรอยแตก เป็นการป้องกันงูไม่ให้มุดเข้าไปอยู่ในบ้านได้

ที่สำคัญ อย่าให้รอบบ้านรกหรือมีขยะ เพราะจะเป็นที่อยู่ของหนู ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะของงู

%e0%b8%81%e0%b8%b0%e0%b8%9b%e0%b8%b0-%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e-www-siamhealth-net_
                                                                          งูกะปะ