สกว.นำ3งานวิจัยร่วมโครงการส่งเสริมนวัตกรรมชีววิทยาศาสตร์ด้วยการลงทุน

สกว.นำ 3 ผลงานวิจัยมาร่วมโครงการส่งเสริมนวัตกรรมชีววิทยาศาสตร์ด้วยการลงทุน ปีที่ 2 หวังต่อยอดเชิงพาณิชย์ ทั้งชุดทดสอบพยาธิใบไม้ในตับและพยาธิใบไม้ในกระเพาะอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เภสัชภัณฑ์จากพริกไทยดำรักษาอุจจาระร่วงและเฝือกสำหรับแขนและขาจากยางธรรมชาติ

31 มกราคม 2561 — กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ผนึกพลังส่งเสริมชีววิทยาศาสตร์ “Promoting I with I” Thailand 4.0 ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพไทย (ไทยไบโอ) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมจัดงานแถลงข่าว “โครงการส่งเสริมนวัตกรรมชีววิทยาศาสตร์ด้วยการลงทุน ปีที่ 2 ประจำปี 2561” ตอบรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งปีที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรม pitching การนำเสนอแผนธุรกิจ จับคู่ทางธุรกิจ ส่วนในปีนี้ได้ปรับกลยุทธ์ด้านการพัฒนา ฝึกอบรม บริหารเทคโนโลยีให้แก่นักวิจัย นักลงทุน เกิดประโยชน์ต่อทีมวิจัยและภาคธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนนักวิจัยและผู้ประกอบการร่วมใช้ประโยชน์จากงานวิจัยต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรม

ดร.ภาคภูมิ ทิพคุณ รองผู้อำนวยการฝ่ายงานการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และสื่อสารสังคม สกว. เผยว่า สกว.เป็นหน่วยงานให้ทุนวิจัยที่ครอบคลุมทุกสาขา ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำร่วมกับหลายภาคส่วน เพื่อผลักดันให้งานวิจัยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมโดยรวม ปีที่ผ่านมา สกว.ได้ร่วมส่งนักวิจัยเข้าร่วมโครงการ Promoting I with I อย่างต่อเนื่อง และจัดทีมงานเป็นพี่เลี้ยงและติดตามผลอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดการต่อยอดงานวิจัยร่วมกับภาคเอกชนจนสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ และส่งเสริมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมได้ตามเป้าหมายของประเทศ

สำหรับผลงานวิจัยของ สกว. ที่เข้าร่วมโครงการในปีนี้ ประกอบด้วย “ชุดทดสอบพยาธิใบไม้ในตับและพยาธิใบไม้ในกระเพาะอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง โดย รศ. ดร. น.สพ.ปณัฐ อนุรักษ์ปรีดา สังกัดสถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้พัฒนา ชุดทดสอบอิมมูโนวินิจฉัยสำเร็จรูปที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงสำหรับการตรวจหาเชื้อพยาธิใบไม้ในตับและพยาธิใบไม้ในกระเพาะอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง” ที่มีความไวและความจำเพาะในการตรวจหาเชื้อ ประกอบด้วย ถาดทดสอบที่เคลือบด้วยแอนติบอดีที่จำเพาะ และน้ำยาสำหรับการทดสอบ สามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างสะดวกรวดเร็วภายในเวลา 4 ชั่วโมง มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก ราคาไม่แพง อีกทั้งตรวจตัวอย่างได้จำนวนมากในแต่ละครั้ง และตรวจหาเชื้อพยาธิได้ตั้งแต่วันแรกของการติดเชื้อ จึงเหมาะสำหรับการนำไปใช้ในหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงฟาร์มเลี้ยงเลี้ยงโคกระบือของภาคเอกชน และประชาชนหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกระบือ ซึ่งจะมีประโยชน์ระยะยาวต่อภาคเกษตรและเศรษฐกิจส่วนรวม คือ ได้ชุดทดสอบต้นแบบที่สามารถพัฒนาเพื่อผลิตออกจำหน่ายทางการค้าได้ และสามารถต่อยอดจากวิธีการตรวจเพื่อนำไปใช้วินิจฉัยโรคพยาธิในกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังตรวจวิเคราะห์ได้ยากต่อไปในอนาคต

“เภสัชภัณฑ์จากพริกไทยดำรักษาอุจจาระร่วงโดย รศ. ดร. นพ.ฉัตรชัย เหมือนประสาท สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ ซึ่งได้พัฒนาวิธีการเตรียมสารสกัดจากพริกไทยดำที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ กระบวนการไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการผลิต ขยายผลในระดับอุตสาหกรรมได้ และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นประมาณ 50 เท่า รวมถึงทดสอบสารสกัดจากพริกไทยดำในเซลล์เยื่อบุลำไส้ของลำมนุษย์ที่เก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยจริง ณ มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าสามารถยับยั้งการคัดหลั่งคลอไรด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยว่าไวรัสโรต้าเหนี่ยวนำให้เกิดการคัดหลั่งคลอไรด์ในลำไส้ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากพริกไทยดำมีศักยภาพสูงที่สามารถพัฒนาต่อไปเป็นเภสัชภัณฑ์เพื่อการรักษาโรคอุจจาระร่วงจากหลายสาเหตุที่สำคัญในมนุษย์

การศึกษาในขั้นตอนถัดไปจะมุ่งเน้นการทดสอบในผู้ป่วยเด็กร่วมกับกุมารแพทย์ รวมทั้งผู้ป่วยด้วยไวรัสโรต้า และพัฒนาให้เป็นเภสัชภัณฑ์ผงน้ำเกลือแร่ผสมสารสกัดจากพริกไทยดำที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผู้ป่วยที่เกิดโรคอุจจาระร่วงฉับพลัน และนำไปประยุกต์ใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านได้ เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตต่ำ วัตถุดิบหาได้ง่าย ใช้ปริมาณน้อยแต่ได้ผลิตภัณฑ์ที่มากพอแก่การนำไปใช้ มีความปลอดภัยสูงเพราะเป็นเครื่องเทศที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมานาน นอกจากนี้โรคอุจจาระร่วงยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีความรุนแรงมากขึ้น และไม่มีวิธีการรักษาที่จำเพาะที่สาเหตุของการเกิดโรค นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สมุนไพรไทยให้คนไทยเข้าถึงยาที่เราสามารถผลิตได้เอง ลดการนำเข้ายาราคาแพงและทดแทนยาเดิมที่ดื้อยา โดยคาดว่าจะมีมูลค่าทางการตลาดสูงถึงเกือบ 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากผู้ป่วยอหิวาตกโรค ไวรัสโรต้า อุจจาระร่วงจากยาต้านไวรัสเอชไอวี และยาเคมีบำบัดเอชไอวีจำนวนมาก

“เฝือกสำหรับแขนและขาจากยางธรรมชาติโดย รศ. นพ.นิยม ละออปักษิณ หน่วยงานภาควิชาออร์โธปิดิกส์  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่พัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ชิ้นแรกโดยใช้น้ำยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งเป็นวัสดุที่หาง่าย ต้นทุนต่ำ มีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถทำให้ผิวสัมผัสมีความเข็งแรงภายนอก แต่มีน้ำหนักเบา อ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น และทำความสะอาดได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานกับผู้ป่วยที่กระดูกหักและเคลื่อนบริเวณเท้า และบางกรณีสำหรับผู้ป่วยที่พักฟื้นจากการได้รับบาดเจ็บที่เท้า เมื่อออกจากโรงพยาบาล

Advertisement

งานวิจัยนี้เป็นงานด้านต้นแบบแม่พิมพ์ ณ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพฯ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒองครักษ์  โดยเริ่มจากการออกแบบเฝือกที่ห้องปฏิบัติการกายอุปกรณ์ ก่อนขึ้นแบบแม่พิมพ์ โดยใช้ผู้ชำนาญด้านกายอุปกรณ์และประสานงานกับนักวิชาการยางที่การยางแห่งประเทศไทย ออกแบบให้มีโครงสร้างสองชั้น แบ่งเป็นโครงสร้างภายนอกและโครงสร้างภายใน โดยอาศัยเบ้าแม่พิมพ์ดังกล่าวเป็นหลัก โครงสร้างภายในเน้นความอ่อนนุ่มในการสัมผัสกับผิวหนังของผู้ป่วย สวมใส่ได้สะดวกตามต้องการ  และคำนึงถึงการระบายอากาศเมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน แนะนำให้สวมถุงเท้าก่อนใส่เฝือกกรณีเกรงว่าจะมีการแพ้ยาง ขณะที่โครงสร้างภายนอกใช้เป็นยางธรรมชาติแบบแผ่นชนิดแข็งในการขึ้นรูป มีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักตามมาตรฐานที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป

บางกรณีอาจใช้เป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถใส่ประคองข้อเท้าได้ง่าย ญาติสามารถใส่เองที่บ้านได้ และมีประสิทธิภาพในการประคองข้อเท้าได้ดีพอ ทั้งนี้ ต้นแบบชุดวัสดุเฝือกจากยางพาราสามารถนำไปประยุกต์ใช้แทนเฝือกได้ โดยทำต้นแบบขนาดต่าง ๆ ของรยางค์บนและล่างส่วนปลาย นอกจากนี้ยังถือเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบทางการแพทย์ที่มุ่งเป้าสู่การค้าเชิงพาณิชย์ได้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงเรียนแพทย์ สถานพยาบาล และผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการใส่เฝือก

Advertisement

ภาคเอกชนที่สนใจจะต่อยอดชุดทดสอบดังกล่าวในเชิงพาณิชย์ สามารถติดต่อได้ที่งานการนำการวิจัยไปใช้ประโยชน์ สกว. 0 2278 8219