ชูสหกรณ์การเกษตรมะขามโมเดลธุรกิจผลไม้ครบวงจร ต้อนรับครม.สัญจร ดันจันทบุรีมหานครผลไม้โลก

นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อประชุมครม.สัญจรนอกสถานที่ และในช่วงบ่ายวันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2561) นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางมาที่สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด จังหวัดจันทบุรี เยี่ยมชมกระบวนการบริหารจัดการผลไม้ผ่านระบบสหกรณ์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลักดัน จังหวัดจันทบุรีสู่การเป็นมหานครผลไม้ของโลก ซึ่งสหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด เป็นอีกหนึ่งสหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรีที่ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ผลิตผลไม้คุณภาพ และมีระบบการบริหารจัดการผลไม้อย่างครบวงจร โดยสหกรณ์มีส่วนในการสนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกรนำไปพัฒนาอาชีพ การจัดหาปัจจัยการผลิตมาจำหน่ายให้สมาชิกในราคายุติธรรมเพื่อช่วยลดต้นทุนแก่เกษตรกร การส่งเสริมการรวมกลุ่มสมาชิกเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตผลไม้ให้ได้มาตรฐาน GAP ตั้งแต่แปลงผลิต ตลอดจนการรวบรวมผลผลิตของเกษตรกรเข้าสู่กระบวนการคัดเกรดคุณภาพผลไม้ การบริหารจัดการระบบขนส่ง และการจัดหาตลาดรองรับผลผลิตกระจายสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านครือข่ายพันธมิตรคู่ค้าภาคเอกชน ทั้งห้างโมเดิร์นเทรดและผู้ส่งออก

สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด จัดตั้งขึ้นจากการควบสหกรณ์หาทุนต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องที่อำเภอมะขาม และได้จดทะเบียนประเภทสหกรณ์การเกษตร เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2513 มีสมาชิกแรกตั้งประมาณ 400 คน โดยมีทุนดำเนินงานเริ่มต้น 1.3 ล้านบาทเศษ ปัจจุบันดำเนินการมาแล้วเป็นเวลา 48 ปี ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 2,048 คน ทุนดำเนินงานจำนวน 305.88 ล้านบาท เป็นสหกรณ์ขนาดใหญ่ระดับอำเภอ ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประเมินมาตรฐานการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพอยู่ระดับชั้น 1 และผ่านเกณฑ์มาตรฐานสหกรณ์ในระดับดีเลิศ ปัจจุบันสหกรณ์มีการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตผลไม้คุณภาพ อาทิ กลุ่มผู้ผลิตผลเงาะคุณภาพ จำนวน 1 กลุ่ม

กลุ่มผู้ผลิตทุเรียนคุณภาพ จำนวน 54 คน กลุ่มผู้ผลิตมังคุดคุณภาพ จำนวน 4 กลุ่ม โดยมีการเตรียมความพร้อมพัฒนากลุ่มผู้ผลิตผลไม้คุณภาพสู่แปลงใหญ่ 2 พืช ได้แก่ กลุ่มมังคุด 112 ราย จำนวน 1,458 ไร่ และทุเรียน 54 ราย 817 ไร่

สำหรับปี 2561 กรมส่งเสริมสหกรณ์มีนโยบายในการผลักดันให้สหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด เป็นแม่ข่ายศูนย์กลางการแปรรูปและส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออก โดยมีเครือข่ายร่วมกับสหกรณ์อีก 2 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎ จำกัด และสหกรณ์นิคมสอยดาว จำกัด ซึ่งกรมฯได้สนับสนุนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์การตลาดให้กับสหกรณ์ทั้ง 2 แห่ง รวมมูลค่า 145 ล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาพัฒนาศักยภาพการผลิตและการแปรรูปผลไม้ของสหกรณ์ให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตลอดจนสร้างมูลค่าสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าสหกรณ์จะสามารถขยายปริมาณการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรได้เพิ่มขึ้นกว่า 35,000 ตัน สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรชาวสวนผลไม้จำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 ราย จะมีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน ได้รับราคาที่เป็นธรรมและส่งผลทำให้ภาพรวมราคาผลไม้ในพื้นที่ปรับตัวตามกลไกของตลาด นำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกร

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์พยายามผลักดันสหกรณ์ผู้ผลิตผลไม้ในภาคตะวันออกโดยใช้ตลาดนำการผลิต พัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการของผู้บริโภค สร้างความเชื่อมมั่นโดยการมีระบบตรวจสอบย้อนกลับผลไม้จากสวนของสมาชิกทุกราย รวมถึงมีการเชื่อมโยงข้อมูลการผลิตผลไม้ร่วมกันระหว่างสมาชิกสหกรณ์ สหกรณ์และคู่ค้า สนับสนุนให้สหกรณ์เป็นศูนย์กลางและสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิก ซึ่งทำให้สหกรณ์และเกษตรกรมีการวางแผนการผลิตร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับตลาดและความต้องการของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ในฤดูกาลผลไม้ปี 2561 นี้ คาดว่าผลผลิตทุเรียนจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตลาดมีความต้องการ และขายได้ราคาดี กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนให้สหกรณ์ในจังหวัดจันทบุรีร่วมกันวางแผนรวบรวมผลผลิตทุเรียน เป้าหมาย 15,000 ตัน ทั้งทุเรียนสดและทุเรียนเพื่อนำไปแปรรูป โดยได้คัดเลือกสหกรณ์ 2 แห่งในจังหวัดจันทบุรี โดยมีสหกรณ์การเกษตรมะขาม จำกัด เป็นแม่ข่ายรวบรวมทุเรียนจากเกษตรกรในพื้นที่อำเภอมะขาม ขลุง โป่งน้ำร้อนและสอยดาว และสหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฎ จำกัด เป็นลูกข่าย รวบรวมทุเรียนส่งต่อให้สหกรณ์แม่ข่ายบริหารจัดการทุเรียนสดและส่วนหนึ่งนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเพิ่มมูลค่าในรูปของทุเรียน Freeze Dry เพื่อกระจายสู่ตลาดภายในประเทศผ่านห้างโมเดิร์นเทรดและเครือข่ายสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้สหกรณ์ร่วมมือกับภาคเอกชนจัดตั้งบริษัทเพื่อรวบรวมผลผลิตทุเรียนเพื่อการส่งออก โดยเบื้องต้นจะเน้นส่งออกสู่ตลาดในประเทศจีน และจะขยายผลสู่ประเทศอื่น ๆ ในอนาคตต่อไป

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์