เผยแพร่ |
---|
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ทปอ.ในฐานะหน่วยงานกลางที่รวบรวมเครือข่ายมหาวิทยาลัย 34 แห่ง และล่าสุดได้ขยายเครือข่ายความร่วมมือภายใต้นโยบาย ทปอ. พลัส ครอบคลุมมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง และมหาวิทยาลัยเอกชน 79 แห่ง รวมเป็น 160 แห่ง ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์รวมพลังเป็นหนึ่งเดียว โดยทลายกำแพงการแบ่งแยกสังกัดเป็น #ทีมไทยแลนด์ ในภารกิจขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมผู้เรียน ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาในการก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างมีคุณภาพ
ประธาน ทปอ.กล่าวต่อไปว่า ทปอ.สนับสนุนการคิดค้นระบบทดสอบที่ช่วยให้เด็กไทยได้รู้ว่าตัวเองชอบและใช่ เหมาะสมกับการเรียนด้านไหน คณะอะไร และเมื่อจบการศึกษาควรประกอบอาชีพอะไรที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด ระบบดังกล่าวชื่อว่าโปรแกรมแบบทดสอบ AI Strengths-finder Career TestTM : aiSCT พัฒนาขึ้นโดยนักวิชาการไทยด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และทักษะวิเคราะห์ ทั้งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานและเข้าถึงนักเรียนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงพัฒนาระบบดังกล่าวในรูปแบบเว็บไซต์ รองรับทั้งระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน
“คลิกเข้าไปที่ www.mycareer.AI และเลือกทำแบบทดสอบ การใช้งานครั้งแรกผู้ใช้งานต้องสมัครสมาชิกเพื่อลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ จากนั้นกดเลือกสาขาวิชา คณะ และมหาวิทยาลัยที่สนใจ และกดเริ่มต้นทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาซึ่งมีรากฐานมาจากงานวิจัยสากลที่รวบรวมปัจจัยแห่งความสำเร็จของสาขาอาชีพต่างๆ ครอบคลุมถึง 1,500 อาชีพ นำมาพัฒนาเป็นอัลกอริทึ่มประมวลผลได้อย่างแม่นยำ โดยประเมินผลใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา (IQ) 2. ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) 3. บุคลิกภาพ (Personality) และ 4. ความสนใจ (Interests) สรุปเป็นผลทางศักยภาพเชิงลึกของผู้ทดสอบ และคำนวณคะแนนความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งหากผู้ทดสอบเลือกเรียนในสาขาและคณะที่ระบบบอกว่า “ใช่” จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่าผู้อื่นถึง 37%” ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าว
ประธาน ทปอ.กล่าวอีกว่า ส่วนระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ปี 2561 หรือทีแคส ทปอ.พิจารณาปรับกระบวนการคัดเลือกเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน เริ่มใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 ด้วยหลักการ 3 ประการ คือ 1. นักเรียนควรอยู่ในห้องเรียนจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 2. ผู้สมัครแต่ละคนมีเพียง 1 สิทธิ์ ในการตอบรับในสาขาวิชาที่ตนเองเลือกเพื่อความเสมอภาค และ 3. มหาวิทยาลัยในเครือข่ายทุกแห่งจะเข้าระบบเคลียริ่ง เฮาส์ เพื่อบริหาร 1 สิทธิ์ของผู้สมัคร เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม ลดความเหลื่อมล้ำด้านการจัดการศึกษาให้ และเกิดความเท่าเทียมกันในสังคม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561