เผยแพร่ |
---|
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยว่า กรมได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ในจีนสำรวจตลาดข้าวเหนียว เพื่อหาโอกาสผลักดันข้าวเหนียวไทยเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น ล่าสุดทูตพาณิชย์ ณ เมืองหนานหนิง ได้รายงานผลการสำรวจตลาด พบว่า จีนผลิตข้าวเหนียวเองได้มากก็จริง แต่ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะความต้องการสูงขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ ถือเป็นโอกาสดีในการผลักดันการส่งออกข้าวเหนียวไทยเข้าสู่ตลาดจีนให้เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันจีนได้นำข้าวเหนียวไปใช้ทำอาหาร เช่น บ๊ะจ่าง บัวลอย และอาหารอื่นๆ โดยมักจะใช้มากในช่วงเทศกาลหรือประเพณีต่างๆ เช่น วันตรุษจีน วันไหว้บรรพบุรุษ เทศกาลแข่งเรือมังกร และใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและอื่นๆ เช่น การผลิตสุรา สีทาบ้าน เป็นต้น
นางจันทิรา กล่าวว่า สำหรับโอกาสในการขยายตลาดข้าวเหนียวไทยในจีน นอกจากการส่งออกในรูปของข้าวเหนียวขาวแล้ว กรมยังพบว่าข้าวเหนียวดำเริ่มเป็นที่นิยมนำไปใช้เพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นข้าวเหนียวที่มีสี และมีสารอาหารสูงกว่าข้าวเหนียวปกติ มีผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการผลักดันการส่งออกข้าวเหนียวดำเข้าสู่ตลาดจีน และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ชาวจีนรู้จักข้าวเหนียวดำเพิ่มมากขึ้น
นางจันทิรา กล่าวว่า นอกจากนี้จะผลักดันข้าวเหนียวไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตสีทาบ้าน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะเป็นสีที่ปราศจากสารเคมี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดวัสดุก่อสร้าง หากส่งเสริมเข้าไปได้ จะทำให้ความต้องการข้าวเหนียวเพิ่มขึ้นอีก โดยปี 2559 จีนนำเข้าข้าวเหนียวจากต่างประเทศ รวม 839,261 ตัน มูลค่า 475 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่นำเข้าจากเวียดนามปริมาณ 802,420 ตัน มูลค่า 436 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา คือ ไทย 33,201 ตัน มูลค่า 33 ล้านเหรียญสหรัฐ ลาว 2,926 ตัน มูลค่า 1.99 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ญี่ปุ่น 139 ตัน มูลค่า1.77 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยส่งออกข้าวเหนียวไปตลาดโลก ปี 2560 มูลค่ารวม 4,454 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ตลาดข้าวเหนียวหลักของไทย อันดับแรก คือ จีน มูลค่า 1,683 ล้านบาท สหรัฐฯ มูลค่า 603 ล้านบาท มาเลเซีย มูลค่า 325 ล้านบาท ลาว มูลค่า 201 ล้านบาท และเวียดนาม มูลค่า 185 ล้านบาท เป็นต้น
ที่มา : ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน