‘บิ๊กฉัตร’เร่งยุทธศาสตร์ข้าว คุมข้าวเปลือกไม่เกิน 33 ล้านตัน/ปี ปั้นไทยศูนย์กลางค้าโลก

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5 ปี (2560-2564) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยแผนภายใน 5 ปี ให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่สวนทางกับแนวโน้มการบริโภคข้าวที่ลดลงส่งผลให้เป้าหมายผลผลิตข้าวให้เหลือไม่เกิน 33 ล้านตันข้าวเปลือก ใกล้เคียงกับผลผลิตในปัจจุบัน แบ่งเป็น ข้าวนาปี 23 ล้านตันข้าวเปลือก นาปรัง 10 ล้านตันข้าวเปลือก และจะเสนอให้ พล.อ.ฉัตรชัย พิจารณาในสัปดาห์หน้า

แหล่งข่าวในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงรายละเอียดยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5 ปี ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและส่งออกข้าว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคข้าวทุกคุณภาพและระดับราคาในตลาดโลก แม้ตลาดข้าวจะมีการแข่งขันกันรุนแรง แต่ชาวนาจะขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม ตามกรอบและระบบการค้าที่มีภาครัฐเป็นผู้รักษากฎระเบียบ และสนับสนุนกลไกการตลาด โดยปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกเท่ากับความต้องการ หรือหากสูงกว่าความต้องการได้จะไม่เกิน10 %  และแบ่งเป็น 8 ด้าน คือ 1.การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชาวนาและองค์กรชาวนา ยกระดับความสามารถในการผลิตข้าวให้ชาวนาสามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่น้อยกว่า 80% และสนับสนุนการสร้างศูนย์กลางชาวนาในระดับท้องถิ่น

2.การควบคุมพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิตข้าวให้เหมาะสม โดยปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม จัดระบบการปลูกข้าวแบบมีส่วนร่วมในเขตชลประทาน และควบคุมปริมาณข้าวเปลือกแต่ละปีที่ออกมาให้สูงกว่าความต้องการของผู้บริโภคไม่เกิน10%

3.การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว โดยปี2564 ผลผลิตต่อไร่ของข้าวทุกพันธุ์ ต้องไม่ต่ำกว่า 516 กิโลกรัม(กก.)ต่อไร่ ต้นทุนการผลิตต่อไร่ไม่เกินไร่ละ 3,600 บาท และต้นทุนการผลิตต่อตันไม่เกินตันละ 7,000 บาท

4.การยกระดับคุณภาพการผลิตและมาตรฐานสินค้าข้าว โดยปริมาณข้าวเปลือกที่มีคุณภาพและปลอดภัยจากแปลงข้าวที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจีเอ็มพี ไม่น้อยกว่า 10 ล้านตัน ข้าวสารที่วางจำหน่ายในท้องตลาดต้องมีมาตรฐานการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยจีเอ็มพี ไม่น้อยกว่า 60% ของปริมาณทั้งหมด ภายในปี 2564 รวมทั้งพัฒนาระบบการซื้อขายข้าวในประเทศและการส่งออกให้มีการซื้อขายข้าวตามมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับไม่น้อยกว่า 80%ของปริมาณที่วางจำหน่าย นอกจากนี้ระบบการผลิตข้าวสาร(โรงสีและโรงปรับปรุง) ที่มีกำลังผลิตมากกว่า 60ตันต่อ 24 ชั่วโมง ต้องได้รับมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิตจีเอ็มพี ครบทุกแห่ง

5.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านระบบการจัดการการส่งสินค้าหรือโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการข้าวทั้งระบบไม่น้อยกว่า 4% ภายใน 5 ปี

6.พัฒนาศักยภาพและสร้างความเป็นธรรมในระบบการค้าข้าว ระบายข้าวเพื่อส่งออกไม่น้อยกว่าปีละ 9 ล้านตัน และส่งเสริมให้ชาวนามียุ้งฉางกลางเพื่อเก็บสต็อกข้าว และจัดการระบบโรงสีและตลาดกลางให้มีครอบคลุมเพื่อรองรับกับผลผลิตในแต่ละพื้นที่ไม่น้อยกว่า80% ภายใน 5 ปี และจัดการระบบการซื้อขายข้าวเพื่อสร้างความเป็นธรรมทั้งระบบภายใน 3 ปี

7.สร้างค่านิยมการบริโภคข้าว สนับสนุนสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าว และเพิ่มการบริโภคข้าวไม่น้อยกว่า 5%

8.วิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมข้าว โดยสนับสนุนให้สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรมทำหน้าที่นำผลวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับข้าวมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ โดยนำเข้าสู่กระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการแปรรูปเป็นสินค้านวัตกรรมและผลิตภัณฑ์จากข้าวไม่น้อยกว่าปีละ 5% และได้พันธุ์ข้าวที่มี่ศักยภาพสูงไม่น้อยกว่า 8 พันธุ์ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการทำเกษตรเพิ่ม

ที่มา มติชนออนไลน์