สศก. แจง ราคาสินค้าเกษตร ช่วง 5 เดือนแรก ข้าวราคาพุ่งกว่าปีก่อน 60% ยางพาราและสับปะรด ราคาตก คาดทิศทางช่วงครึ่งปีหลังดีดตัวสูงขึ้น

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสินค้าข้าว ยางพารา และสับปะรด ในช่วง 5 เดือน ที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค. 61) ว่า ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ ปี 2561 มีทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับ ปี 2560 โดยในช่วง 5 เดือนแรก ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาเฉลี่ย ตันละ 14,743 บาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เฉลี่ย ตันละ 9,207 บาท หรือสูงขึ้น 60.13% เนื่องจากปริมาณข้าวหอมมะลิออกสู่ตลาดลดลงจากผลกระทบของอุทกภัยในช่วงกลางปี 60 ในขณะที่ข้าวเปลือกเจ้า ราคาเฉลี่ย ตันละ 7,781 บาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เฉลี่ย ตันละ 7,514 บาท สูงขึ้น 3.55% เนื่องจากมีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น แอฟริกา อินโดนีเซีย และมาเลเชีย เป็นต้น 

ยางพารา ราคาเกษตรกรขายได้ ปี 2561 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่จะมีทิศทางดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดย 5 เดือนแรก ราคายางแผ่นดิบ ชั้น 3 กก.ละ 43.56 บาท ราคาน้ำยางสด กก.ละ 41.46 บาท และยางก้อนถ้วยคละ กก.ละ 20.28 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาลดลง 38.61% , 36.42% และ 39.15% ตามลำดับ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคายางพาราปรับตัวลดลง ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของปริมาณสต๊อกยางในประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่อย่างจีน การแข็งค่าของเงินบาท รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้ยางที่นำเข้ายางพาราจากไทย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ราคายางพาราปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มราคายางช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการในประเทศยังคงมีความต้องการใช้ยางพารา ประกอบการมาตรการ/โครงการภาครัฐที่สนับสนุนทั้งเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณสต๊อกยางของจีน (ชิงเต่า) ปรับตัวลดลง

ส่วนสับปะรด ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ย 5 เดือนแรก แบ่งเป็นสับปะรดโรงงาน กก.ละ 3.14 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 6.29 บาท หรือลดลง  50.07% สับปะรดบริโภค กก.ละ 3.14 บาท ลดลงจาก 12.28 บาท ลดลง 35.26% เนื่องจากผลผลิตออกกระจุกตัวในช่วง พ.ค.-มิ.ย. และตลาดส่งออกชะลอการสั่งซื้อ ทำให้โรงงานแปรรูปต้องลดกำลังการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งผลให้มีสับปะรดส่วนเกินความต้องการของโรงงานแปรรูป ทั้งนี้ มติคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้มีมาตรการนำสับปะรดส่วนเกินออกนอกระบบ โดยกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต ผลักดันการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ทำ (MOU) รูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ในรัสเซีย อิหร่าน และเชื่อมโยงการค้า ขยายตลาดใหม่ USA EU และอาเซียน ร่วมกับการรณรงค์การบริโภคสับปะรดผลสดภายในประเทศเพิ่มขึ้น