ชาวไร่ยื่น “บิ๊กตู่” ช่วยซื้อใบยาสูบ

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าความคืบหน้ากรณีชาวไร่ยาสูบ กลุ่มผู้บ่ม ผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ยื่นหนังสือเรียกร้องให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือหลังการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ประกาศไม่รับซื้อใบยาสูบในฤดูการผลิต 2561/2562 จนทำให้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และ นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้ว่าการยาสูบแห่งประเทศไทยได้ออกมาชี้แจงว่ายังมีสต๊อกใบยาสูบเพื่อผลิตอีก 4-5 ปี ประกอบกับยอดขายลดลงกว่าครึ่ง หลังมีการแก้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตจึงไม่สามารถซื้อใบยาได้นั้น ล่าสุดเวลา 14.00 น. นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เล่ย์จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ เดินทางไปที่กองพันทหารม้าที่ 28 เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยรับซื้อใบยาสูบของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบต่อไป

นายสงกรานต์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะทางการยาสูบ เพิ่งแจ้งงดรับซื้อใบยาสูบให้ทราบเมื่อราว 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งกะทันหันทำให้เกษตรกรปรับตัวไม่ทัน แต่หากแจ้งล่วงหน้าก่อนราว 1-2 ปี ยังพอจะปรับตัวไปเพาะปลูกพืชอย่างอื่นทดแทนหรือไปประกอบอาชีพอื่น จึงทำให้เกษตรกรชาวไร่ยาสูบพันธุ์เบอร์เล่ย์ของ จ.เพชรบูรณ์ กว่า 3,421 ราย ที่มีโควต้าส่งใบยาสูบขายให้สำนักงานยาสูบเพชรบูรณ์ ได้รับผลกระทบหนัก ทั้งนี้ ทางภาคีเครือข่ายยาสูบ 8 สมาคมในภาคเหนือและ 1 เครือข่ายในภาคอีสาน ต่างรอฟังคำตอบจากรัฐบาลว่าจะยื่นมือช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ยาสูบอย่างไร หากยังไม่มีการตอบรับก็จะมีการหารือเพื่อกำหนดแนวทางการเรีบยกร้องต่อไปให้เป็นทิศทางเดียวกัน โดยข้อเรียกร้องที่ชาวไร่ยาสูบต้องการคือ ขอให้มีการรับซื้อใบยาสูบในโควต้าต่อไป หากจะงดรับซื้อก็ต้องมีแผนรองรับในการช่วยเหลือเกษตรกร อาทิ การหาพืชตัวอื่นมาให้ปลูกทดแทนหรือการจ่ายเงินทดแทนให้ เพราะบางครอบครัวยึดอาชีพปลูกยาสูบกันมาตลอดทั้งชีวิต แต่เมื่องดรับซื้อใบยาสูบนอกจากเกษตรกรจะไม่มีทุนเพาะปลูกพืชอย่างอื่นต่อไปแล้ว ยังขาดรายได้เลี้ยงดูครอบครัวและบางส่วนก็มีภาระหนี้สินอยู่อีกด้วย

นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ช่วงต้นสัปดาห์หน้าได้นัด นางสาวดาวน้อยเข้ามาหารือและรับฟังข้อมูลเท็จจริงกรณีข่าวที่เกิดขึ้นว่า การยาสูบแห่งประเทศไทยจะไม่รับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ โดยมองว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น ซึ่งต้องติดตามความคืบหน้าหลังจากการหารือ  อีกครั้ง

นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อชาวไร่ผู้ปลูกยาสูบหากไม่มีการรับซื้อ เพราะโรงงานยาสูบจะเป็นผู้ที่ควบคุมปริมาณและความต้องการใช้ ซึ่งหากชาวไร่ปลูกแล้วขายไม่ได้ก็เดือดร้อน เป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องหารือเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งนี้สถานการณ์การขายบุหรี่หลังจากที่ได้เริ่มมีการปรับภาษีสรรพสามิตของบุหรี่ขึ้นนั้น พบว่า ร้านค้าได้รับผลกระทบมียอดขายที่ลดลงเพราะราคาบุหรี่แพง ซึ่งผู้สูบก็หันไปสูบบุหรี่ราคาถูกที่มีการนำเข้ามา เช่น จากมาเลเซีย และพบว่ามีการลักลอบนำเข้าบุหรี่มากขึ้น

นายอำนวย วิชัย อายุ 45 ปี เกษตรกรชาว จังหวัดพะเยา กล่าวว่ามีพื้นที่ปลูกยาสูบประมาณ 9 ไร่ เป็นสายพันธุ์เวอร์จิเนียที่ส่งเข้าโรงบ่ม ทุกปีครอบครัวมีรายได้จากการปลูกยาสูบขายปีละ 1-2 แสนบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวเป็นรายได้ที่หักต้นทุนทั้งหมดจะเป็นรายได้สุทธิต่อไร่ประมาณ 20,000 บาท อาชีพปลูก ยาสูบของชาว ตำบลงิม และตำบลอื่นๆ ของ อ.ปง เป็นอาชีพที่ถูกส่งต่อจากบรรพบุรุษ ทุกวันนี้รายได้จากยาสูบถือว่าเป็นรายได้หลักของครอบครัว

นายอุดม ศรีชุม อายุ 40 ปี เกษตรกรชาว จ.พะเยา กล่าวว่าครอบครัวทำสวนยาสูบมานานกว่า 20 ปี แล้ว  หากรัฐบาลมีนโยบายงดซื้อยาสูบดังกล่าวจริง แน่นอนว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นย่อมตกมาถึงเกษตรกรที่จะต้องเป็นผู้ได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัส รายได้หลายแสนบาทแต่ละปีจะหายไปทันที

ที่มา : ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน

Advertisement