เพิ่ม ”ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ” เป็นหลักประกันทางธุรกิจ นำร่อง 58 พันธุ์

นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมกำลังเร่งออกกฎกระทรวงเพื่อเพิ่มทรัพย์สินอื่นมาเป็นหลักประกัน สำหรับไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออม การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าในประเทศไทย อีกทั้งประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ระหว่างการปลูก โดยนำไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจเพื่อกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินได้

โดยกรมได้รับฟังความคิดเห็นจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม สหกรณ์สวนป่าภาคเอกชน กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ สมาคมธนาคารไทยและธนาคารรัฐ เช่น ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน SME Bank  ซึ่งทุกหน่วยงานสนับสนุนให้กระทรวงพาณิชย์เร่งออกกฎกระทรวง รวมทั้ง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่า จะเป็นไปตามแผนที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคมตั้งเป้าหมายไว้ภายใน 1 ปี หรือภายในเดือนกันยายน 2561

ทั้งนี้ กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 กำหนดให้ทรัพย์สินที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้มี จำนวน 6 ประเภท ได้แก่ 1.กิจการ 2.สิทธิเรียกร้อง เช่น สัญญาเช่า บัญชีเงินฝากธนาคาร ลูกหนี้การค้า เป็นต้น 3. สังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง หรือวัตถุดิบ เป็นต้น

4.อสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เช่น ที่ดินจัดสรร หมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น 5. ทรัพย์สินทางปัญญา เช่น เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ เป็นต้น 6. ทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งขณะนี้ทรัพย์สินที่นำมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจมีครบตาม 1- 5 แล้ว

ล่าสุด ภาคเอกชนได้มีการนำสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ประเภทสัตว์พาหนะ (ช้าง) และกิจการ มาจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าทรัพย์สิน (ช้าง) ที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 13 ล้านบาท และกิจการ 514 กิจการ ประกอบด้วย ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านซักอบรีด สวนผัก ผลไม้ สวนยางพารา หอพัก และรับเหมาก่อสร้าง จำนวน 97 ล้านบาท รวมมูลค่า (ช้างและกิจการ) กว่า 110 ล้านบาท

Advertisement

แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของประเภททรัพย์สินที่นำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ และเป็นที่ยอมรับของสถาบันการเงินในการให้กู้ยืมเงิน สามารถสะท้อนได้ว่า พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ เอสเอ็มอี ไทย เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ช่วง 4 กรกฎาคม 2559 – 3 กรกฎาคม 2561 ได้มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว 210,730 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน รวม 4,849,127 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคาร ยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็น 51.88%  มูลค่า 2,515,487 ล้านบาท รองลงมาคือ สิทธิเรียกร้องประเภทลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาเช่า สัญญาซื้อขายคิดเป็น 25.92% มูลค่า 1,256,912 ล้านบาท

Advertisement

สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลังวัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ ช้าง คิดเป็น 22.16% มูลค่า 1,074,656 ล้านบาท ทรัพย์สินทางปัญญา คิดเป็น 0.04 % มูลค่า 1,975 ล้านบาท กิจการ คิดเป็น 0.002% มูลค่า 97 ล้านบาท และอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ คิดเป็น 0.00001% มูลค่า 340,000 บาท

 

ที่มา : มติชนออนไลน์