เผยแพร่ |
---|
วันนี้ (16 กรกฎาคม 2561) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางเข้าร่วมประชุม “การบูรณาการและการปฏิรูประบบการบริหารจัดการภัยพิบัติ” ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 14 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อาคาร เอส เอ็ม ทาวเวอร์ สนามเป้า เพื่อร่วมหารือถึงแนวทางและมาตรการป้องกันภัยพิบัติของประเทศ จากฐานความรู้งานวิจัยด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศตลอดที่มีการศึกษาที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานประกอบด้วย สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะกรรมการธุรกิจการท่องเที่ยวและบริหารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนคณะนักวิจัยผู้ศึกษาด้านภัยพิบัติมาอย่างต่อเนื่อง เข้าร่วมประชุมครั้งนี้
ศาสตราจารย์ นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวว่า สกว. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของภัยพิบัติทั้งในระดับจุลภาคไปจนถึงมหภาค จนส่งผลให้เกิดการสนับสนุนทุนวิจัย ทั้งในเชิงระบบและเชิงประเด็นอย่างต่อเนื่อง ผลสัมฤทธิ์ของงานวิจัยที่เกิดขึ้นได้ยังผลไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงนโยบายและการปฏิบัติของพื้นที่จริงสู่เป้าหมายหลายรูปแบบ อาทิ ชุดโครงการลดภัยพิบัติแผ่นดินไหว สถาปนิก วิศวกร ได้มีการนำไปปรับใช้กับการสร้างอาคารในประเทศไทย ทางด้านการศึกษา มีการเพิ่มเติมเนื้อหาด้านการเรียนรู้ การปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัยพิบัติในหลักสูตร เป็นต้น การร่วมหารือในวันนี้จึงเป็นประโยชน์ที่ต่อยอดงานวิจัยที่เคยทำมา เป็นฐานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารจัดการภัยพิบัติครั้งใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ หลายโครงการยังได้ก่อให้เกิดผลกระทบและเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกับการแก้ปัญหาอุบัติภัยในประเทศ อาทิ โครงการการบริหารจัดการความปลอดภัยในการท่องเที่ยวและทะเลของเมืองพัทยา ของ นายธงชัย พงษ์วิชัย ผอ. สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 2 กรมเจ้าท่า และคณะ เป็นต้น
ด้าน นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ทีมหมูป่า อะคาเดมี ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ในพื้นที่ จ.เชียงราย และเหตุการณ์เรือล่ม ที่ จ. ภูเก็ต ทำให้ค้นพบแนวทาง 2 ประการ ว่า 1. ผู้ประสบเหตุไม่ใช่แค่คนในท้องถิ่น แต่เป็นนักท่องเที่ยว จึงมีความจำเป็นในการรายงานข้อมูลในพื้นที่มากขึ้น รูปแบบการนำเสนอข่าว ตลอดจนการบูรณาการจัดการภัยพิบัติจึงอยู่ภายใต้โจทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นสมัยก่อนเกิดจากคนไปขวางเส้นทางธรรมชาติ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทราบว่าเส้นทางธรรมชาติบุกไปถึงในพื้นที่ที่ไม่เคยไป การคาดเดาต่างๆ จึงเกิดความคลาดเคลื่อน “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” เป็นสิ่งสำคัญ การทำงานของผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ถูกต้องและสอดคล้องตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุดในพื้นที่ประสบเหตุ 2.ด้านความปลอดภัย ที่ผ่านมาเราพบว่า ความไม่ปลอดภัยเรื่องยานพาหนะเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งการต่อเติมยานพาหนะ สถานที่ไม่ปลอดภัย เส้นทางไม่ปลอดภัย ใบอนุญาตขับขี่ไม่มี ในกรณีของเรือยังไม่มีมาตรการความปลอดภัยที่ชัดเจน มีประเด็นที่ไม่เคยพิจารณาทั้งเรื่อง ผู้ให้เช่ายานพาหนะ มีเรื่องของคนสร้างเรือ คนต่อเรือ จรรยาบรรณ บทบาทหน้าที่ความคล่องแคล่วของพนักงานต้อนรับ นอกจากนี้ เรื่องความปลอดภัยเรื่องระเบียบข้อกฎหมายหลายฉบับค่อนข้างล้าสมัย เช่น ข้อปฏิบัติก่อนการปล่อยเรือออกทะเล เช่น การแนะนำวิธีการสวมเสื้อนิรภัย การแจ้งให้ทราบเรื่องทางหนีไฟ ถ้าเกิดเหตุไฟดับจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เป็นต้น เรื่องของนโยบายต้องเอาเรื่อง “ความปลอดภัย” มาเป็นที่ตั้ง
ดังนั้น ในส่วนของกระบวนการปฏิรูประบบการบริหารจัดการภัยพิบัติ ยังไม่อยู่ในระดับขั้นที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะประชาชนควรรู้บางส่วนยังไม่มี บางส่วนที่มีแล้วมีโอกาสเข้าถึงน้อย แผนนโยบายท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นตอนนี้คือ 1. ลดความเหลื่อมล้ำ 2. สร้างการท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน 3. ความมีน้ำใจ ไม่ใช่หน้าที่แต่เป็นประเพณีที่พึงรักษาเอาไว้ ทำให้เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยความประทับใจ และ 4. จะไม่ต่อรองกับความปลอดภัย ทั้งนี้ล่าสุดท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเป็นแกนนำในเรื่องการบริการจัดการนโยบายความปลอดภัยทางทะเลและมาตรการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆ ต่อไปเช่นกัน โดยเป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ในช่วงท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเสริมว่า ระบบงานวิจัยควรเป็นกล้ามเนื้อหลักในการทำงานเชิงนโยบายภายในกระทรวง นอกเหนือไปจากการป้องกันและการถอดบทเรียน การบริหารจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั้งในมิติต่างๆ ควรมีการเชื่อมโยงการทำงานในทุกภาคส่วน เนื่องจากเป็นลมหายใจใหญ่ของระบบท่องเที่ยว ที่จะช่วยให้กลุ่มคนทุกภาคส่วนอยู่ได้
ด้าน ดร.บั ณฑูร เศรษฐศิโรตน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การป้องกันและจัดการภัยพิบัตินั้นอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ขององค์การสหประชาชาติ อาทิ ในเป้าหมายที่ 13 Climate Action ที่ระบุว่าดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น เนื่องจากการท่องเที่ยวของประเทศไทยอ่อนไหวต่อปรากฏการณ์นี้ ก้าวหลังจากนี้ ควรมองเป็น 2 ส่วน คือการเคลื่อนงานวิจัยเป็นแบบ “การวิจัยเชิงปฏิบัติการ” นำข้อเสนอแนะจากนักวิจัย ไปทดลองปฏิบัติเลย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกรณีถ้ำ ท่องเที่ยวทางทะเล ประเด็นที่ 2 คือต้องเอางานวิจัยกับการยกระดับการทำงานเรื่องการจัดการภัยพิบัติให้ดำเนินการไปพร้อมกัน มีการเจาะจงว่าในพื้นที่ไหน เร่งทำประเด็นใด ต้องเป็นเครื่องมือหลายแบบ มีเครื่องมือย่อยในแต่ละเรื่อง ทั้งนี้ในช่วงท้ายได้มีการสรุปแนวทางการทำงานร่วมกันว่าจะมีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ระหว่าง สกว. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งในส่วนของ ภาษี เครื่องมือการช่วยเยียวยาหลังการเกิดภัยพิบัติ การจัดการงบประมาณ แผนป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ การจัดทำประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ ซึ่งจะมีการหารือโดยละเอียดร่วมกันต่อไป