ผู้เลี้ยงปลาเมืองกาญจน์วอนรัฐเยียวยา หลังระบายน้ำลงแควน้อยเพิ่มซัดกระชังปลาพังเสียหายกว่า 10 ล้าน

จากกรณีที่เขื่อนวชิราลงกรณ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้ทำการระบายน้ำออกจากเขื่อนลงสู่แม่น้ำแควน้อย มาตั้งแต่เดือน กรกฎาคม จากเดิมระบายน้ำอยู่ที่ 23 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพิ่มเป็น 28 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และ 31 ล้านลูกบาศก์ต่อวัน จนล่าสุดอยู่ที่ 43 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดของการระบายน้ำ ทั้งนี้เพื่อให้ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ ซึ่งการระบายน้ำดังกล่าวนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขื่อนวชิราลงกรณ ได้แจ้งเตือนผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ท รวมทั้งประชาชนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงปลากระชัง ให้ทราบมาโดยตลอด และที่ผ่านมายังไม่มีรายงานความเสียหายแต่อย่างใด

ล่าสุดเมื่อวันที่  11 สิงหาคม  ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายธนพล แก้วดอนหวาย อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 / 12 หมู่ 3 ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ว่ากระชังปลาได้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำเสียหายทั้งหมด ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 10 ล้านบาท โดยนายธนพล กล่าวว่า ตนมีกระชังปลาทั้งหมด 96 กระชัง  เมื่อประมาณวันที่ 24 กรกฎาคมตนได้รับหนังสือแจ้งเตือนว่า เขื่อนวชิราลงกรณ จะทำการระบายน้ำ ลงสู่แม่น้ำแควน้อยอย่างต่อเนื่องหลายวัน จากนั้นก็พบว่าบริเวณริมตลิ่งที่เลี้ยงปลากระชังมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตนก็ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ ขณะที่ปลาที่อยู่ในกระชังก็สามารถจับได้แล้ว แต่การจับปลาแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องรอให้พ่อค้าแม่ค้ามารับ เพราะไม่สามารถย้ายปลาไปอยู่ที่อื่นได้  ตนเริ่มจับปลาได้ประมาณ 30 ตัน จนกระทั่งประมาณวันที่ 5 สิงหาคม น้ำก็ได้เริ่มเพิ่มปริมาณเอ่อล้นตลิ่งขึ้นวันละประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร จนกระทั่งสูงขึ้นจนแม่ค้าจึงไม่สามารถจับปลาได้

นายธนพล กล่าวต่อว่า และเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 สิงหาคมขณะที่ตนและครอบครัวอยู่ภายในบ้าน ก็ได้ยินเสียงกระชังปลาดังลั่น เนื่องจากไม่สามารถรับความรุนแรงของกระแสน้ำได้ จากนั้นกระชังก็ได้ม้วนลงใต้น้ำ ทำให้หัวกระชัง รวมทั้งกระชังตัวที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 หลุดตามกันไปเป็นทอดๆ จนถึงกระชังสุดท้าย ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ถึง 20 นาที จากนั้นกระชังทั้งหมดก็ได้หลุดหายไปกับสายน้ำทันที  สำหรับปลาที่เลี้ยงไว้ ทั้งหมดเป็นปลาทับทิม โดยมูลค่าความเสียหายครั้งนี้ นับเฉพาะค่าสร้างกระชังปลา 96 กระชัง ก็ประมาณ 2 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับปลาที่สูญหายไปกับสายน้ำประมาณ กว่า 100 ตัน คาดว่ามีมูลค่าความเสียหายเกือบ 10 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ดังนั้นจึงอยากจะขอวิงวอนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือในการเยียวยาความเสียหายในครั้งนี้ด้วย  ทั้งนี้หากเขื่อนจำเป็นต้องมีการระบายน้ำครั้งละมากๆ ก็อยากจะให้คำนึงถึงผู้ประกอบการท้ายน้ำบ้าง เนื่องจากชาวบ้านไม่รู้ว่าจะเกิดความเสียหายมากน้อยขนาดไหน การที่ระดับน้ำเพิ่มขึ้นถึง 6-7 เมตร และไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงทำให้โครงสร้างของกระชังปลารองรับไม่ได้ ถึงแม้จะใช้ลวดสลิงและสมอเรือ ยึดเอาไว้แล้วก็ตาม

ด้าน นายปิยะพงษ์ ศิรชัยวรวงศ์ กล่าวว่า ตนมีกระชังเลี้ยงปลาอยู่ริมแม่น้ำแควน้อย พื้นที่ ต.วังเย็น อ.เมือง จ.กาญจนบุรี หลังจากทางเขื่อนวชิราลงกรณ ได้เพิ่มการระบายน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ตนก็ได้พยายามหาทางป้องกันเอาไว้แล้ว จนกระทั้งช่วงกลางดึกของวันที่ 8 สิงหาคม ปรากฏว่าน้ำในแม่น้ำแควน้อยมีปริมาณเพิ่มขึ้น และไหลเชี่ยวกรากเป็นอย่างมาก เป็นเหตุทำให้กอไผ่ขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตามริมตลิ่งโค่นและลอยมาปะทะกระชังปลา ทำให้กระชังปลาที่มีอยู่ทั้งหมด 300 กระชัง เสียหายไป 10 กระชัง ปลาทับทิมตัวใหญ่ประมาณ 7 ตัน ลูกปลาประมาณ 10,000 ตัว หายไปกับสายน้ำ มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นประมาณเกือบ 1 ล้านบาท