ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายธนพล แก้วดอนหวาย อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 / 12 หมู่ 3 ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ว่ากระชังปลาได้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำเสียหายทั้งหมด ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 10 ล้านบาท โดยนายธนพล กล่าวว่า ตนมีกระชังปลาทั้งหมด 96 กระชัง เมื่อประมาณวันที่ 24 กรกฎาคมตนได้รับหนังสือแจ้งเตือนว่า เขื่อนวชิราลงกรณ จะทำการระบายน้ำ ลงสู่แม่น้ำแควน้อยอย่างต่อเนื่องหลายวัน จากนั้นก็พบว่าบริเวณริมตลิ่งที่เลี้ยงปลากระชังมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตนก็ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ ขณะที่ปลาที่อยู่ในกระชังก็สามารถจับได้แล้ว แต่การจับปลาแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องรอให้พ่อค้าแม่ค้ามารับ เพราะไม่สามารถย้ายปลาไปอยู่ที่อื่นได้ ตนเริ่มจับปลาได้ประมาณ 30 ตัน จนกระทั่งประมาณวันที่ 5 สิงหาคม น้ำก็ได้เริ่มเพิ่มปริมาณเอ่อล้นตลิ่งขึ้นวันละประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร จนกระทั่งสูงขึ้นจนแม่ค้าจึงไม่สามารถจับปลาได้
นายธนพล กล่าวต่อว่า และเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 สิงหาคมขณะที่ตนและครอบครัวอยู่ภายในบ้าน ก็ได้ยินเสียงกระชังปลาดังลั่น เนื่องจากไม่สามารถรับความรุนแรงของกระแสน้ำได้ จากนั้นกระชังก็ได้ม้วนลงใต้น้ำ ทำให้หัวกระชัง รวมทั้งกระชังตัวที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 หลุดตามกันไปเป็นทอดๆ จนถึงกระชังสุดท้าย ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ถึง 20 นาที จากนั้นกระชังทั้งหมดก็ได้หลุดหายไปกับสายน้ำทันที สำหรับปลาที่เลี้ยงไว้ ทั้งหมดเป็นปลาทับทิม โดยมูลค่าความเสียหายครั้งนี้ นับเฉพาะค่าสร้างกระชังปลา 96 กระชัง ก็ประมาณ 2 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับปลาที่สูญหายไปกับสายน้ำประมาณ กว่า 100 ตัน คาดว่ามีมูลค่าความเสียหายเกือบ 10 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ดังนั้นจึงอยากจะขอวิงวอนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือในการเยียวยาความเสียหายในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้หากเขื่อนจำเป็นต้องมีการระบายน้ำครั้งละมากๆ ก็อยากจะให้คำนึงถึงผู้ประกอบการท้ายน้ำบ้าง เนื่องจากชาวบ้านไม่รู้ว่าจะเกิดความเสียหายมากน้อยขนาดไหน การที่ระดับน้ำเพิ่มขึ้นถึง 6-7 เมตร และไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงทำให้โครงสร้างของกระชังปลารองรับไม่ได้ ถึงแม้จะใช้ลวดสลิงและสมอเรือ ยึดเอาไว้แล้วก็ตาม