มะเฟือง บี 17 คุณค่าทางอาหารสูง แต่คนไม่ค่อยมองเห็น

ภาพ​จากฐาน​ข้อมูล​ห้องสมุด​ภาพมติชน

มะเฟือง เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่รู้จักกันดี และสังเกตได้ง่าย แปลกกว่าผลไม้ชนิดอื่น มีเนื้อแยกออกเป็นห้าแฉก เนื้อ

นอกจากนี้ ยังนับเป็นผลไม้ที่ทรงคุณค่าไม่น้อย โดยในเนื้อแท้ของผลไม้ชนิดนี้จะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย นักโภชนาศาสตร์ได้วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองแล้วพบว่า อุดมไปด้วย วิตามิน เอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และพลังงาน ในปริมาณไม่น้อยเลย

ภาพ​​จาก​ฐาน​ข้อมูล​ห้องสมุด​ภาพมติชน

ในผลมะเฟืองสด มีน้ำอยู่ประมาณ 91% นอกจากนั้น ก็มีกรดซิตริก น้ำตาล และวิตามินหลายชนิด เมล็ดมีน้ำอยู่เพียง 25% และน้ำมันอยู่ 37% ผลมะเฟืองมีรสหวาน เปรี้ยว ฝาด เย็น ผลเป็นยาเย็น ดับร้อน ถอนพิษ ทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยง แก้ไอ ขับนิ่วในทางปัสสาวะ ใบมะเฟือง มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ บดให้แหลก ใช้พอกฝีบวมแดงแก้ปวด

มะเฟือง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบเป็นใบประกอบ ใบย่อยคล้ายใบมะยม ดอกช่อสั้น กลีบดอกสีขาวปนม่วง ผลมีลักษณะเป็นสันเหลี่ยม 3-5 สัน ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเขียวอมเหลือง เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกส้ม ในผลจะมีเมล็ดเล็กๆ อยู่ประมาณ 10-12 เมล็ด

โดยพบการกระจายพันธุ์ในคาบสมุทรแปซิฟิก และมาเลเซีย แพร่กระจายในเขตร้อนทั่วไป รวมทั้งประเทศไทย

สำหรับพันธุ์ของมะเฟืองนั้นเช่นเดียวกับผลไม้อื่นๆ ที่มีหลากหลายพันธุ์ แต่ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมคือ พันธุ์ บี 17 หรือที่มีอีกชื่อว่า Honey Star

มะเฟืองบี 17 ผลมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ชั่งได้ 3-4 ผล ต่อกิโลกรัม

ทรงผลค่อนข้างยาว และมีความกว้างสม่ำเสมอตลอดผล ผลมีความยาวประมาณ  8-10 เซนติเมตร กลีบผลหนา มีฐานกว้าง ร่องระหว่างผลตื้น ที่ผิวของกลีบ มีจุดประเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ยังมีเปลือกบาง เมื่อแก่จัดมีสีเหลืองเข้ม จนถึงเหลืองอมส้ม เนื้อนิ่มฉ่ำน้ำ มีกลิ่นหอม รสหวาน

ความหวานวัดได้ 11.5 องศาบริกซ์ รสไม่ฝาด มี  5-10 เมล็ด ต่อผล

มะเฟือง บี 17 จะให้ผลผลิตตลอดทั้งปี แต่เก็บผลผลิตได้มาก ช่วงเดือนิมถุนายน-กันยายน

วิธีการปลูกมะเฟือง ในส่วนระยะปลูก ใช้ระยะ 4×4 เมตร (หลังปลูกปีที่ 3 จะตัดต้นเว้นต้น) แต่ถ้าขุดหลุม ขนาด 50x50x50 เซนติเมตร

ภาพ​​จาก​ฐาน​ข้อมูล​ห้องสมุด​ภาพมติชน

ทั้งนี้ ในการปลูกนั้นควรรองก้นหลุมด้วย โดโลไมต์ : 0-3-0 : 15-15-15 : ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 100 กรัม : 100 กรัม : 100 กรัม : 100 กรัม : 50 กรัม : 3 กิโลกรัม ต่อหลุม

วิธีการปลูก มี 2 วิธี คือ

  1. ใช้สต๊อกพันธุ์เปรี้ยวพื้นเมือง อายุ 4 เดือน ปลูก 2 เดือน แล้วเปลี่ยนยอดใหม่เป็นพันธุ์ที่ต้องการ เช่น บี 17 (หลังจากปลูก Stock แล้ว 15 เดือน จะเริ่มเก็บผลผลิตได้)
  2. ใช้กิ่งพันธุ์ที่เปลี่ยนยอดไว้แล้วปลูก (หลังจากปลูก 12 เดือน) จะสามารถเก็บผลผลิตได้ (หลังจากปลูกจะให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลรักษา โดยหลังจากปลูกจะให้น้ำวันเวันวันในฤดูแล้ง

นอกจากนี้ หลังจากปลูก 1 เดือน จะใส่ปุ๋ย 21-0-0 อัตรา 50 กรัม ต่อต้น เมื่ออายุปลูก 2 เดือน ขึ้นไป จะใส่ปุ๋ย สูตร 13-13-13 หรือ 15-15-15 อัตรา 50-100 กรัม ต่อต้น ต่อเดือน และใช้เมธามิโตฟอส : เบนเลท : 21-21-21 อัตรา 30 : 10 : 30 ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 2 สัปดาห์ ต่อครั้ง

หลังจากปลูก 8-10 เดือน จะเริ่มแต่งกิ่งเพื่อเลี้ยงทรงพุ่ม หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จ มะเฟืองจะเริ่มแทงช่อดอก เมื่อแทงช่อดอก 10-15 วัน จะพ่นยาฆ่าแมลงอัตราเดิม 2 สัปดาห์ ต่อครั้ง พอดอกบาน 40 วัน จะปลิดแต่งผลเหลือไว้เฉพาะผลที่ต้องการ แล้วใช้ถุงพลาสติกสีขาวขุ่น หรือถุงกระดาษ ห่อผลไว้ ถุงละ 1 ผล

ทั้งนี้ ต้นที่มีอายุ 12 เดือน สามารถห่อผลไว้ได้ ประมาณ 10-20 ผล ต่อต้น ในขณะที่ต้นที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป สามารถเก็บผลผลิตได้รุ่นละไม่ต่ำกว่า 15 กิโลกรัม ต่อต้น สำหรับในช่วงห่อผลมะเฟือง จะใส่ปุ๋ย สูตร 12-12-19 อัตรา 100 กรัม ต่อต้น สำหรับมะเฟืองอายุ 12 เดือน และอัตรา 300 กรัม ต่อต้น สำหรับมะเฟืองอายุ 3 ปี ขึ้นไป

เมื่อเก็บผลผลิตแล้วจะเริ่มตัดแต่งกิ่งมะเฟือง แล้วฉีดพ่นยาป้องกันกำจัดโรคแมลงอัตราเดิม เพื่อเตรียมเลี้ยงดอกรุ่นต่อไป

ความสำเร็จในการปลูกมะเฟืองอยู่ที่ความพร้อมซึ่งปัจจัยการเจริญเติบโต เช่น มีแสงแดดอย่างเพียงพอ ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี ให้น้ำและปุ๋ยเพียงพอ มะเฟืองเป็นพืชที่ตอบสนองต่อปุ๋ยและน้ำอย่างรวดเร็วมาก ทำให้ผลผลิตสูง ขนาดผลโต เนื่องจากมะเฟืองเป็นพืชที่ติดผลดก จำเป็นต้องปลิดผลออกบ้าง

ส่วนศัตรูมะเฟือง ส่วนมากเป็นแมลงวันทอง ผีเสื้อมวนหวาน ซึ่งจะเข้าทำลายผลเมื่อเริ่มสุก การห่อผลด้วยกระดาษสีน้ำตาลหรือถุงพลาสติกสีน้ำเงินจะช่วยป้องกันแมลงเหล่านี้ได้ดี และเป็นการเพิ่มขนาดผล ผิวสวยขึ้น

มะเฟื่องหวานๆ สีเหลืองสด ที่ห้อยเป็นระย้าบนต้น จึงนับเป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจ หากจะมีไว้ที่ในสวนข้างบ้านสักหนึ่งต้น…