ไข่ไก่อินทรีย์ จากแม่ไก่อารมณ์ดี ที่คลองหาด

“ไก่ไข่อินทรีย์วิถีสระแก้ว” เป็นหนึ่งในนโยบายการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกที่ดำเนินการอยู่ในเขตจังหวัดสระแก้ว โดยมีสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสระแก้ว เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและดูแลมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่ 9 อำเภอของจังหวัด และได้มีเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเกิดขึ้นในพื้นที่อย่างมากมาย

นอกเหนือจากการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์วิถีสระแก้วแล้ว ยังมีโครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่พื้นเมืองอินทรีย์วิถีสระแก้ว เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ

ไข่อินทรีย์ คือ ไข่ปลอดสารพิเศษที่ได้มาจากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ไม่มีการฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต หรือกินอาหารที่มีสารพิษตกค้าง

บ้านเลขที่ 83 หมู่ที่ 5 ตำบลคลองหาด อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว โทร. (086) 167-8494 บ้านของเกษตรกรคนเก่งอีกคนหนึ่งของจังหวัดสระแก้ว คุณเฉลยและคุณสมใจ ละม้ายพันธ์ เป็นหนึ่งในการเกษตรตัวอย่างและผู้ริเริ่มการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์จนประสบความสำเร็จ และสามารถผลิตไข่ไก่อินทรีย์ออกจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้จะมีเรียกกันติดปากว่า ไข่คลองหาด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า เป็นไข่ไก่อินทรีย์ที่มาจากแม่ไก่อารมณ์ดี

“การที่แม่ไก่อารมณ์ดีนั้น มีสาเหตุมาจากระบบการเลี้ยงของเราที่เน้นให้เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าการเลี้ยงไก่อินทรีย์ ที่เน้นการเลี้ยงปล่อย คือปล่อยให้ไก่เดินเล่นอย่าเงป็นอิสระตามธรรมชาติ ไม่เลี้ยงในกรงตับ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดของไก่ ทำให้ไก่ไข่ที่เลี้ยงได้ออกกำลังกาย ได้คุ้ยเขี่ยอาหารตามธรรมชาติ ทำให้ไก่สุขภาพแข็งแรง ด้านอาหารก็เลี้ยงด้วยสูตรอาหารธัญพืชปลอดสาร ไม่ใช่ยาปกิชีวนะ ไม่ใช่ฮออร์โมนเร่ง ปล่อยสารเร่งสี และใช้น้ำหนักชีวภาพ สมุนไพรต่างๆ เพื่อให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรง”

มีน้ำสะอาอาดให้กินตลอดเวลา

“เมื่อไก่ไข่ที่เลี้ยงอารมณ์ดี มีสุขภาพดี ผลผลิตที่ได้ก็มีคุณภาพดีตามาด้วย แถมยังปลอดสารพิษ เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค มีคนจากประเทศญี่ปุ่นมาเที่ยวที่ฟาร์ม เขาบอกว่า ไข่ไก่ของผมคุณภาพดีมากไม่มีกลิ่นคาว รสชาติออกมันๆ เขาตอกใส่ปากกินสดๆเลย “ ลุงเฉลยกล่าว

ทั้งนี้ ลุงเฉลยบอกกล่าวถึงจุดเริ่มต้นว่า มาจากอาการป่วยของภรรยาคือ ป้าสมใจ ที่ป่วยเป็นอัมพฤก และได้มีข้อแนะนำจากแพทย์แผนไทยที่รู้จักกัน ให้ป้าสมใจทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

“หมอแนะนำว่า  กินอาหารเป็นยา”

จากคำว่าอาหารเป็นยา ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการทำเข้าสู่การเป็นปศุสัตว์ด้านไก่ไข่อินทรีย์จนถึงปัจจุบัน

ลักษณะไข่แดงของไก่ไข่อินทรีย์

“แต่ก่อนทำเกษตรใช้สารเคมีมาเยอะ ซึ่งร่างกายผมเองก็รับไม่ไหว แต่พอเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของอินทรีย์ที่ไม่ต้องมีสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องเดี๋ยวสุขภาพดีขึ้นมากต่างกับอดีตที่ผมปลูกมันสำปะหลัง ปลุกข้าวโพดอย่างมากมาย ที่เคยใช้สารเคมี แต่ก่อนผมจะมีปัญหาว่าทำงานเหนักแล้วเหนื่อยง่ายมาก”

ลุงเฉลยบอกว่า ปี 2549 เป็นปีแรกของการเริ่มต้นด้วยไก่ไข่ที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินของกองทุนหมู่บ้าน จำนวน 7 ตัว  และต่อมาได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการอย่างสำนักงานปศุสัตว์อำเภอคลองหาด ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว เข้ามาสนับสนุนในด้านต่างๆ จนเกิดการพัฒนาและเกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่สนใจ อีก 20 คน กลายเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์อำเภอคลองหาด

ส่วนของคอกนอน

แต่ที่สำคัญคือ ผลงานความสำเร็จของลุงเฉลยและทางกลุ่มเกษตรกรได้แพร่กระจายออกไปทางสื่อต่างๆ ทำให้มีผู้สนใจได้เดินทางมาเยี่ยมและนำไปเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพในหลายจังหวัด

ปัจจุบันลุงเฉลยเลี้ยงไก่ไข่อยู่ทั้งหมด 300 ตัว โดยเป็นสายพันธุ์ไก่ไข่ที่นำลงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2552

“ไก่ไข่อินทรีย์มีเปอร์เซ็นต์การให้ไข่ดี  เช่น  ไก่ไข่  จำนวน  90  ตัว  ได้ไข่  79-80  ฟอง ที่ผมยังไม่เปลี่ยนเพราะต้องการศึกษาว่า ถ้าเราเลี้ยงในลักษณะไก่ไข่อินทรีย์แบบนี้ ตัวไก่จะสามารถให้ผลผลิตได้นานขนาดไหน เพื่อให้เป็นข้อมูลแก่เกษตรกรผู้สนใจใหม่ๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้”

ลักษณะการเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ของลุงเฉลย จะเป็นคอกที่มีแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นโรงเรือนเพื่อให้ไก่ได้ใช้เป็นที่นอน โดยจะทำคอนให้ไก่ไว้เกาะนอนช่วงกลางคืน และกินน้ำอาหาร อีกส่วนเป็นพื้นที่แปลงหญ้า เพื่อให้ไก่ออกมากินหญ้า แมลง ตามธรรมชาติทั้งนี้อัตราการปล่อยเลี้ยงมีข้อแนะนำว่า พื้นที่ 1 ตารางวา ต่อไก่ 1 ตัว และให้มีรังไข่ 1 รัง ต่อไก่ 9 ตัว

ป้าสมใจเก็บไข่ไปจำหน่าย

สำหรับในส่วนของอาหารที่ให้ไก่กินนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ อาหารหลักได้แก่อาหารข้น และอาหารเสริมต่างๆ ตามธรรมชาติ

“อาหารที่ใช้เลี้ยงผมผสมอาหารเอง โดยไม่ให้มีเคมี ใช้วัตถุดิบทั้งที่ผลิตได้เองและซื้อมา โดยประยุกต์สูตรอาหารมาจากศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว โดยผมจะถอดส่วนผสมที่เป็นสารเคมีออกแล้วเพิ่มในส่วนของสมุนไพรเข้าไปแทน โดยจะมีส่วนผสมของ ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ถั่วอบ รำ เกลือ เปลือกหอย”

สำหรับสมุนไพรที่ลุงเฉลยใช้ผสมให้ไก่กินนั้น ส่วนมากจะเป็นสมุนไพรที่สามารถหาได้ง่ายในพื้นที่ เช่นใบเตย  ต้นโทงเทง มีสรรพคุณแก้หวัดในสัตว์ ต้นฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใบฝรั่ง มีสรรพคุณแก้ท้องเสีย หญ้าจีนแดง มีสรรพคุณใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ซึ่งตามคำแนะนำที่ผมเคยไปอบรมมาบอกว่าต้องนำมาหมักก่อนแล้วผสมน้ำให้ไก่กิน แต่ผมมองว่ามีขั้นตอนเยอะไป ผมเลยนำมาตากแห้งบาง หรือบางครั้งก็ใช้สด แล้วผสมลงไปในอาหารโดยตรง ซึ่งอาหารข้น 100 กิโลกรัมจะ จะใส่สมุนไพรลงไปประมาณ 1 กิโลกรัม  ไก่ที่ผมเลี้ยงกินสมุนไพรแบบนี้เข้าไปด้วยทำให้แข็งแรงไม่เคยป่วยเป็นโรค ซึ่งที่ฟาร์มผมไม่เคยทำวัคซีนให้กับไก่เลย

“ไม่ใช่เฉพาะที่ต้องเป็นสมุนไพรอย่างเดียว แม้แต่พืชผักต่างๆที่เรากิน ไม่ว่า พริก ข่า ตะไคร้ มะละกอ ตำลึง หรือต้นกระถินที่ขึ้นรั้ว ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อไก่ทั้งสิ้น เรามาให้ไก่กินได้เลย”

ลุงเฉลยบอกว่า สำหรับอาหารข้นที่ผลิตขึ้นนั้นจะนำมาให้ไก่กินวันละ 2 ครั้งในช่วงเช้าและบ่าย

ประตูทางเข้าออกของไก่เวลามาหากินในแปลงหญ้า

“ไก่ไข่ตัวหนึ่งจะกินอาหารวันละ 1 ขีด ดังนั้นถ้าไก่ 10 ตัวก็จะกินอาหาร 1 กิโลกรัม เราก็แบ่งให้กินในช่วงเช้า 0.5 กิโลกรัมและประมาณบ่าย 3 โมงเย็นจะให้อาหารอีก 0.5 กิโลกรัม พร้อมทั้งมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา”

ส่วนอาหารเสริมตามธรรมชาติ จะเน้นการปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาตินั้น ลุงเฉลยบอกว่า การปล่อยให้กินหญ้าแมลงตามธรรมชาติ จะเริ่มปล่อยตั้งแต่ 4 โมงเย็นทุกวัน ซึ่งไก่จะหากินจนมืดและจะกลับขึ้นคอกนอนเอง

“นอกจากปล่อยให้กินหญ้าธรรมชาติแล้ว บางช่วงผมก็จะปลูกผักไว้ในพื้นที่ข้างๆด้วย เช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน ซึ่งต้นสวยๆป้าสมใจจะคัดออกไปจำหน่าย ส่วนที่เหลือก็จะเก็บมาโยนให้ไก่กิน ผักที่ปลูกจะไม่มีการใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้นเช่นกัน หากมีโรคแมลงเกิดขึ้นผมก็จะใช้น้ำหมักสมุนไพรฉีดพ่น”

ลุงเฉลยได้กล่าวถึงด้านการตลาดไข่ไก่อินทรีย์ที่ผลิตได้ในขระนี้ว่า ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ

“ตอนนี้ความต้องการมีมาก ไม่เฉพาะในพื้นที่อำเภอคลองหาดเท่านั้น ตามจังหวัดต่างๆ ก็ติดต่อเข้ามากันเยอะ แต่ผมมีข้อจำกัดว่าทำกับป้า 2 คน เราจึงไม่สามารถขยายออกไปให้เพียงพอกับตลาดได้ ตอนนี้เราจึงขายเท่าที่เรามีไป แต่ผมบอกได้เลยว่า หากทำอย่างถูกต้องได้รับการรับรองจากรมปศุสัตว์ว่าเป็นไก่ไข่อินทรีย์แล้ว เรื่องตลาดไม่ต้องเป็นห่วงมีความต้องการสูงมาก” ลุงเฉลยกล่าวทิ้งท้าย

………………………..

19