เลี้ยงจระเข้ แบบครบวงจร เป็นอาชีพทำเงิน

คุณอดิศัย ว่องไวไพโรจน์ อยู่บ้านเลขที่ 92 หมู่ที่ 10 ตำบลหลุมรัง อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเกษตรกรที่เริ่มต้นเลี้ยงจระเข้มาตั้งแต่ ปี 2542 จากการหมั่นสังเกตและมีใจรักในสิ่งที่ทำ อาจเรียกได้ว่าฟาร์มแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งฟาร์มที่คร่ำหวอดในเรื่องการเลี้ยงที่ครบวงจร สามารถผลิตส่งขายจระเข้ให้กับลูกค้าได้ทุกปี จึงเกิดเป็นรายได้ให้กับเขาได้เป็นอย่างดี

คุณอดิศัย ว่องไวไพโรจน์

คุณอดิศัย เล่าให้ฟังว่า จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเกษตรศาสตร์ สาขาวิชาสัตวศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อจบการศึกษาจึงได้กลับมาอยู่บ้านเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัว คือ ทำไร่อ้อย แต่ช่วงสมัยที่เรียนอยู่นั้นได้เลี้ยงโคพันธุ์อเมริกันบราห์มันไว้บางส่วน ประมาณ 20 ตัว เมื่อกลับมาอยู่บ้านก็เลี้ยงโค ยึดเป็นอาชีพควบคู่ไปกับการทำไร่ จนสามารถมีโคแม่พันธุ์ 500-600 ตัว แต่มีอุปสรรคทำให้ต้องเลิกเลี้ยงโคไป จึงทำให้มีการปรับเปลี่ยนมาทำฟาร์มจระเข้แทนในเวลาหลังจากนั้น

บ่อพ่อแม่พันธุ์

“ผมเริ่มทำอะไรก็แล้วแต่ ผมจะเริ่มจากการทำทีละน้อยๆ ก่อน และนำผลกำไรมาขยับขยาย โดยจะไม่เน้นลงทุนด้วยวิธีการกู้เงินมาทำ โคที่เลิกเลี้ยงเพราะเห็นว่าจำนวนยิ่งมาก พื้นที่ใช้เลี้ยงก็เยอะตามไปด้วย พร้อมทั้งต้องหาอาหารมาให้กินเยอะในแต่ละวัน บวกกับราคาช่วงปี 39 ยังไม่ได้ดีมากเหมือนอย่างกับปัจจุบัน ดูแล้วน่าจะเป็นปัญหา ก็เลยตัดสินใจเลิกเลี้ยงไป และมามองหาทำอย่างอื่นที่เหมาะสมกับพื้นที่ของเรา” คุณอดิศัย เล่าถึงที่มา

ไข่จระเข้

เนื่องจากที่ดินที่มีอยู่ตั้งอยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงไก่ จึงมองว่าถ้าหากนำจระเข้มาเลี้ยงก็สามารถซื้อไก่มาเป็นอาหารได้ ให้จระเข้ได้กินในราคาถูก ลดต้นทุนการเลี้ยงได้ดี พร้อมกับพื้นที่มีสภาพอากาศร้อนและมีแสงแดดเหมาะสมแก่การเลี้ยงจระเข้ และที่สำคัญไกลจากแหล่งชุมชน จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องความขัดแย้งกับชุมชน

 

คุณอดิศัย บอกว่า เริ่มเลี้ยงจระเข้โดยนำมาทดลองเลี้ยง ประมาณ 50 ตัว โดยใช้เงินทุนที่มีอยู่มาลงทุน ไม่เน้นกู้หนี้มาทำฟาร์ม เมื่อมีกำไรจากการขาย ก็จะนำเงินที่ได้มาลงทุนเลี้ยงเพิ่มทุกปี ปีละ 50 ตัว จนกระทั่งการเลี้ยงจระเข้ของฟาร์มครบรอบการเลี้ยง และมีผลผลิตออกขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียน และลดความเสี่ยงจากการลงทุน

ปัจจุบัน ฟาร์มแห่งนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และผลิตจระเข้ที่ดีมีคุณภาพรายใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี และมีการจัดการที่ดี ได้รับรอง GAP ฟาร์มเลี้ยงจระเข้ ใบอนุญาตเพาะพันธุ์สัตว์ป่า ใบอนุญาตค้าสัตว์ป่าที่ได้จากการเพาะพันธุ์ และใบอนุญาตครอบครองสัตว์ป่าที่ได้มาจากการเพาะพันธุ์

บ่ออนุบาลลูกจระเข้

ซึ่งการเพาะพันธุ์จระเข้จะคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีสัดส่วนดี และอายุอย่างต่ำ 10 ปี ปล่อยในพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับผสมพันธุ์ให้มีอัตราส่วน ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัวเมีย 3 ตัว โดยพื้นที่บริเวณนั้นต้องมีความเงียบสงบ มีการสร้างสิ่งกำบังไม่ให้จระเข้เห็นกันในช่วงผสมพันธุ์ หลังจากผสมพันธุ์แล้วจระเข้จะใช้เวลาวางไข่ในช่วงกลางคืน จากนั้นในช่วงเช้าจะเก็บไข่พร้อมทั้งทำเครื่องหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีการกลับไข่ นำไข่มาล้างทำความสะอาด พร้อมทั้งตรวจเช็กเชื้อก่อนนำไข่เข้าห้องฟักที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิด้วยการใช้ระบบน้ำหมุนเวียน

“ไข่จระเข้ที่ฟักก็จะอยู่ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิ อยู่ที่ 31.5 องศาเซลเซียส ใช้เวลาฟัก ประมาณ 68-70 วัน หลังจากนั้นลูกจระเข้จะฟักออกจากไข่ นำลูกจระเข้ไว้ในห้องฟัก 7 วัน เพื่อให้ลูกจระเข้ปรับตัว พร้อมทั้งรักษาแผลที่หน้าท้องให้ปิดสนิท หลังจากนั้นนำจระเข้ไปเลี้ยงในบ่ออนุบาล ปล่อยอยู่ที่ 300 ตัว ต่อบ่อ ช่วงแรกจะให้ลูกจระเข้กินไก่บดวันเว้นวัน เลี้ยงแบบนี้ไป ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี” คุณอดิศัย บอกถึงการอนุบาล

จระเข้ระยะขุน

เมื่อลูกจระเข้ที่อนุบาลได้อายุที่กำหนด จะมีความยาวอยู่ที่ 1 เมตร จากนั้นนำไปเลี้ยงต่อในบ่อขุนอีกครั้ง ปล่อยเลี้ยงในอัตราส่วน 1 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร เช่น พื้นที่ 700 ตารางเมตร ก็จะปล่อยจระเข้เลี้ยงอยู่ที่ 700 ตัว ต่อบ่อ อาหารที่ให้จระเข้กินจะไม่บดเหมือนระยะอนุบาล แต่จะให้กินไก่เป็นชิ้นๆ ที่เป็นเศษเหลือจากโรงงานมาให้กินได้เลยโดยไม่ต้องบด ให้กินวันเว้นวันเช่นกัน ใช้เวลาเลี้ยงจระเข้ระยะขุนต่อไปอีก 3 ปี จระเข้ทั้งหมดก็จะได้ไซซ์ขนาดที่สามารถส่งขายให้กับลูกค้าที่มารับซื้อจากฟาร์ม โดยจะขายรุ่นขุนทั้งหมดออกจากบ่อ หลังจากนั้นจะนำรุ่นที่อนุบาลไว้มาใส่เลี้ยงต่อไปหมุนเวียนแบบนี้ทุกปี

ลูกจระเข้ที่ฟักออกจากไข่

“พอจระเข้พ้นระยะอนุบาลไปแล้ว เลี้ยงในระยะขุน เรื่องการจัดการจะไม่ยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องไปจัดการอะไรมาก ถึงเวลาให้อาหารเราก็ให้อาหารอย่างเดียว ส่วนน้ำก็ถ่ายเดือนละครั้ง น้ำเสียที่ออกมาเราก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน เราก็มีบ่อน้ำทิ้ง 3 บ่อ เตรียมไว้ เพื่อเอาน้ำเหล่านั้นใส่ลงไปในแปลงหญ้าที่ปลูก หรือไร่อ้อยของเราเอง จึงเรียกได้ว่าฟาร์มเรามีมาตรฐานทุกอย่างครบวงจร” คุณอดิศัย บอก เกี่ยวกับการจัดการระบบภายในฟาร์ม

บ่อเลี้ยง

ในเรื่องการทำตลาดเพื่อส่งขายจระเข้นั้น คุณอดิศัย บอกว่า ไม่ได้ทำตลาดที่เดินไปเพียงลำพัง แต่มีกลุ่มที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างมั่นคง เพื่อให้มีกำลังในการต่อรองในเรื่องของระบบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเลี้ยงจระเข้ เช่น การซื้ออาหารเลี้ยง การซื้อลูกพันธุ์ ตลอดไปจนถึงเรื่องของการตลาดส่งขาย

“จระเข้ที่เลี้ยงจนถึงในระยะขุนครบ 3 ปี ขนาดไซซ์ตัวจะยาวอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร ลูกค้าจะชอบระยะนี้ เพราะเป็นระยะที่เหมาะสม ทั้งเนื้อและหนังได้ที่กำลังดี ซึ่งราคาขายคิดอยู่ที่ เซนติเมตรละ 24 บาท ซึ่งที่ฟาร์มผมโชคดีที่เรามีการเพาะพันธุ์เอง จึงทำให้มีลูกพันธุ์มาเลี้ยงขุนโดยไม่ต้องซื้อจากที่อื่นเข้ามาเพิ่ม ก็จะช่วยในเรื่องของการลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี โดยฟาร์มผมก็ขยับการส่งขายขึ้นอยู่ที่หลักพันตัว แต่เฉลี่ยก็อยู่ที่ 6,000 ตัว ต่อปี” คุณอดิศัย บอก

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเลี้ยงจระเข้ คุณอดิศัย บอกว่า สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ ขออนุญาตจากสำนักงานประมงที่อยู่ภายในจังหวัดนั้นๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจว่า พื้นที่เหมาะสมที่จะเลี้ยงหรือไม่ จากนั้นก็ศึกษาหาความรู้ในวิธีการเลี้ยงให้เข้าใจ ว่าจระเข้มีอุปนิสัยอย่างไร มีความเป็นอยู่แบบไหน แล้วจึงลงมือทำ เมื่อได้ผลกำไรแล้วจึงค่อยขยับขยายการเลี้ยง พัฒนาต่อยอดขึ้นไป

สนใจเยี่ยมชมฟาร์ม หรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงจระเข้ ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณอดิศัย ว่องไวไพโรจน์ หมายเลขโทรศัพท์ (081) 763-3357