เชียงใหม่ เมืองในฝันของผม

จำได้ว่าเมื่อประมาณ ปี 2508 ที่เป็นระยะหยุดเทอมกลาง ปี 2 ของผม ได้ร่วมกลุ่มทัวร์เชียงใหม่ ที่กรรมการของคณะเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ในสมัยนั้น เป็นคนจัด จำได้ว่าคนละ 300 บาท ไปกลับโดยรถไฟ เป็นการไปเชียงใหม่ครั้งแรกและเดินทางไกลที่ไม่มีพ่อแม่ ครั้งแรกที่ขอทางบ้านไป และเป็นการที่เมาเป็นครั้งแรก บนรถไฟด้วย เนื่องจากไปดื่มที่ตู้เสบียง ซึ่งต่อมา เวลาขึ้นรถไฟครั้งใด ก็จะต้องไปนั่งตู้เสบียงเสมอๆ 

ขณะที่นอนเตียงบนของตู้นอน ปวดหัวมากเพราะแฮ้งโอเวอร์ ได้แต่นอนซึมไปเรื่อยๆ คงจะเข้าเวลาย่ำรุ่ง หรือเลยเที่ยงคืนมาแล้ว กลุ่มนิสิตที่ไปด้วยกันที่ยังไม่นอน ร้องเพลง นกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำนี้จะนอนไหนเอย ซึ่งเข้ากับบรรยากาศประทับใจจนทุกวันนี้

เมื่อถึงเชียงใหม่แล้ว จำได้ว่าไปพักโรงแรมแถวถนนท่าแพ เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ห้องพักอยู่ชั้นบน มีเตียง กางมุ้งนอน และห้องน้ำเป็นแบบรวมใช้ด้วยกัน อยู่ข้างนอก มีระเบียงโปร่งด้านหน้าโรงแรมให้นั่งเล่น มองออกไปที่ถนนได้ชัดเจน

วันแรกที่ถึงเชียงใหม่ คณะได้พาไปร่วมชมและเตะฟุตบอลสามัคคีกับคณะแพทย์ เชียงใหม่ ซึ่งคณะของเราที่เดินทางไป แพ้หลุดลุ่ย เหมือนต้อนหมู เพราะคณะที่เดินทางไป ไม่ได้เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย เพียงแค่เล่นกันได้ ไม่เคยซ้อมทีม และสะบักสะบอมกับการเดินทาง ทั้งเมา ทั้งเพลียกันถ้วนหน้า ไม่มีใครคิดถึงการเตะฟุตบอลมากนัก เพียงแต่อยากมาเที่ยวเชียงใหม่เท่านั้น ผมก็ร่วมเตะกับเขาด้วย

ในสมัยนั้น ได้ไปเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นจุดท่องเที่ยวอยู่ เช่น น้ำตกห้วยแก้ว น้ำตกแม่กลาง ถ้ำเชียงดาว ดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และดอยปุย เมื่อเที่ยวตามรายการแล้ว ยังได้ไปเดินซื้อของที่ร้านมิ่งฟ้า และร้านกรุงเทพ ซึ่งเขาได้จัดให้มีคนสวยๆ อ่อนหวาน คอยต้อนรับ ทำให้หัวใจหนุ่มๆ อ่อนระทวย ต่างก็ซื้อกันเต็มพิกัด ซึ่งนอกจากที่เชียงใหม่แล้ว ยังมีโอกาสได้ไปป่าซาง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงในเรื่องสาวงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไปซื้อของตามที่ต่างๆ แล้ว สิ่งที่หนุ่มๆ ต้องการ เพราะเห็นความสวย ความอ่อนหวานของสาวเชียงใหม่แล้ว ก็อยากจะไปเยือนกำแพงดิน ถิ่นของคนหนุ่ม ที่นั่น ก็ได้โกยเงินของพวกเราไปได้มากพอสมควร

พวกเราจากเชียงใหม่ด้วยความประทับใจ และมีความใฝ่ฝันอยากจะไปอยู่ที่นั่น เพราะชอบผู้คนโดยเฉพาะสาวๆ และภาษาที่ไพเราะยิ่งนัก

เมื่อจบการศึกษา ผมตั้งใจอยากจะเป็นข้าราชการ และเป็นนักเกษตร เหมือนกับที่ได้เรียนมา แต่ต้องมาเป็นลูกจ้างในปีแรก ไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ เพราะผมจบช้ากว่าเพื่อน เรียนภาคฤดูร้อนต่ออีก 1 ภาค จึงจะสมบูรณ์ แล้วมีวันที่เปิดสอบในช่วงนั้น อยู่ครั้งเดียวที่ตรงกับวันที่นัดปลดทหาร ผมตัดสินใจไปปลดทหารก่อน เพราะอุตส่าห์เรียนรักษาดินแดนมา อย่างลุ่มๆ ดอนๆ และเนื่องจากคิดว่า ราชการคงจะเปิดสอบบ่อยๆ แต่ปลดทหารเปิดปีละครั้ง อยากให้หมดภาระไปก่อน ปรากฏว่าตัดสินใจผิด ไม่มีการเปิดสอบบรรจุอีกเลย แต่ในช่วงที่เป็นลูกจ้างนั้น ได้มีโอกาสมาทำงานประจำที่ศูนย์กลุ่มเกษตรกร ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 20 วัน ซึ่งดีใจมากๆ ที่ผู้ใหญ่ให้มา

เพื่อนร่วมงานอีกคนที่มาด้วยกันคือ จรัส โสภารินทร์ ซึ่งจากพวกเราไปแล้ว เหตุเกิดในขณะที่เป็นเกษตรอำเภออยู่แม่ฮ่องสอน ที่มีอยู่วันหนึ่ง ขับรถกลับบ้านที่เชียงใหม่ ถูกโจรปล้น และถูกยิงเสียชีวิต ราชการต้องเสียคนดีไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ทำงานที่ดอยสะเก็ดนั้น ได้ตั้งใจทำงาน ตามโอกาส แต่ไม่ค่อยเป็นงานในชนบทมากนัก เพราะทำงานเป็นปีแรกยังไม่มีประสบการณ์ แต่เมื่อถึงตอนเย็นแล้ว กินข้าวเย็น ดื่มทุกวัน บางวันติดลมก็เข้าเชียงใหม่มาเที่ยวต่ออีก ถนนในสมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรังแคบๆ แต่สุราก็พาไปและกลับ อย่างเชี่ยวชาญ และเช่นเคย ที่ได้พบคนที่อ่อนหวาน สวยงาม ที่เชียงใหม่ ถึงแม้จะไม่สามารถจีบได้เลย แต่ก็ชอบคนเชียงใหม่มากๆ

เมื่อสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้แล้วใน ปี 2512 หลังจากทำงานเป็นลูกจ้างมาประมาณ 1 ปี ตอนนั้น ที่เชียงใหม่มีตำแหน่งว่างที่จะไปประจำอยู่ได้ แต่ท่านอธิบดีท่านจับผมไปอยู่ฉะเชิงเทรา เพราะผมมีภูมิลำเนาใกล้เคียงแถวนั้น เลยต้องวนเวียนอยู่ทั่วทางแถบภาคตะวันออก ไม่มีวาสนาได้มาอยู่เชียงใหม่ เหมือนที่ใฝ่ฝัน คงเป็นดวงชะตาที่ในชีวิตไม่ค่อยมีอะไรสมหวัง ฉะนั้น เชียงใหม่ถือเป็นความประทับใจที่มีโอกาสเมื่อไร ก็จะต้องไปที่นั่น เป็นประจำเสมอๆ

ต่อมา ดวงชะตาได้ลิขิตให้ได้ย้ายมาทำงานส่งเสริมพืชน้ำมัน ซึ่งได้มีโอกาสได้ไปเชียงใหม่เสมอๆ เพราะเป็นแหล่งปลูกถั่วเหลือง และเป็นศูนย์กลางของพืชน้ำมันที่รับผิดชอบ จนคุ้นเคยกับแหล่ง ถนนหนทางมากๆ เป็นเวลาหลายๆ ปี แต่ก็ไม่ได้คนเชียงใหม่เป็นคู่ชีวิต เพราะดวงชะตาเป็นเนื้อคู่กับสาวภาคอื่น

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ กลุ่มเพื่อนๆ ที่เชียงใหม่มีการพบปะ กินข้าวเที่ยงกัน ซึ่งกลุ่มเขาจะพบกันเป็นประจำทุกเดือน โดยพบกัน วันที่ 24 ของทุกเดือน ตรงกับรุ่นที่เราจบจากเกษตรมา คือรุ่นที่ 24 พอดี เดือนนี้เป็นวันอาทิตย์ พอจะเดินทางมาได้ เป็นการสร้างความแปลกใจให้กับเพื่อนๆ ผม เดินทางวันที่ 23 และกลับวันที่ 25 พฤษภาคม ได้อยู่เชียงใหม่เพียง 2 คืนเท่านั้น

เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ว่าจะออกจากบ้านตอนตี 4 เพื่อที่จะขับรถแบบสบายๆ ยังไม่ร้อน แต่ได้ออกจริงๆ ตอนตี 5 ครึ่ง ซึ่งก็ยังดี มีอยู่ 2 ครั้งที่คิดว่าจะออกตี 4 แต่ออกจริงๆ บ่าย 2 โมง จากบ้านที่อยู่แถวเกษตร บางเขน ครั้งแรก ออกบ่าย 2 ไปทางพหลโยธิน พอถึง 4 โมงเย็น เพิ่งถึง สนามบินดอนเมือง รถติดค่อยๆ เลื่อน ครั้งต่อไปที่ออกบ่าย 2 ก็คิดว่าจะไปขึ้นทางด่วนที่งามวงศ์วาน พอถึงบ่าย 4 ยังอยู่ข้างเกษตร ซึ่งต้องเปลี่ยนใจหันกลับไปถนนรามอินทรา เพื่อจะไปกาญจนาภิเษกแทน ทั้ง 2 ครั้ง จำได้ว่าถึงเชียงใหม่ไม่ต่ำกว่า ตี 2 และเป็นอันตราย เพราะตอนดึกๆ แม้รถจะว่างก็ดี แต่เราขับไปหลับไป ไม่เคลื่อนเท่าไร อันตรายมาก และถนนที่รถว่างๆ นั้น เราเห็นไม่สุดถนน ขับเร็วๆ ไม่ทราบว่าข้างหน้ามีโค้งซ้ายหรือขวา เกรงว่าจะเลี้ยวไม่ทันโค้ง ฉะนั้น กลางคืนไปได้ประมาณ 80 หรือ 100 ถือว่าเร็วสุด

ครั้งนี้ ออกตี 5 ครึ่ง จึงแน่ใจว่ารถไม่ติด จึงวิ่งทางตรง ไปพหลโยธิน ไปเรื่อยๆ อากาศเป็นแบบสบายๆ วางแผนจะไปกินแมคโดนัลด์ ที่ปั๊มการปิโตรเลียม เคยเห็นว่าอยู่แถวบางปะอิน ข้ามสะพานแยกไปอยุธยาก็คงจะถึงแล้ว เมื่อไปถึงจริงๆ ผ่านปั๊มไป 3 ปั๊มแล้ว ยังไม่เห็นร้านแมคโดนัลด์ แต่ต้องแวะปั๊มไปก่อน เพื่อเข้าห้องน้ำ ทนไม่ไหว จึงได้กินข้าวแกงจนเสร็จ แล้วเดินทางต่อ เห็นแมคโดนัลด์อยู่ปั๊มต่อไป เลยแวะที่แมคโดนัลด์ กินอีกครั้งจนอิ่มมากๆ จึงได้เดินทางต่อ

ความจริง เราไม่ค่อยได้แวะแมคโดนัลด์ เพราะมีร้านอาหารประจำ ที่ปั๊ม ปตท.สิงห์บุรี ชื่อทองพันชั่ง รู้สึกว่าเขามีมาตรฐานและมีปลาแดดเดียว เป็นแพ็กใส่ตู้เย็นไว้ขาย ซื้อเป็นของฝากบ้าง หรือไปทอดเองบ้าง กินกับข้าวเหนียว น้ำพริกหนุ่มอร่อยมากๆ เคยซื้อข้าวราดห่อหมกที่ร้านทองพันชั่งนี้ ใส่กล่องแล้วไปจอดรถที่ บิ๊กซี หรือโลตัส ที่จังหวัดตาก เพื่อกินในรถจนเสร็จ แล้วไปเข้าห้องน้ำข้างในห้าง เป็นการพักรถไปในตัว

วันนั้นไม่ได้มีรถติดหนาแน่นมากนัก วิ่งได้แบบสบายๆ ประมาณ 10 ชั่วโมงถึง เพราะขับไปแวะไป และพยายามรักษาความเร็วไว้ระหว่าง 100-120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เพราะไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ ที่ถูกเรียกบ่อยๆ เพราะบางครั้ง เผลอขับเร็วเกิน

ในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลที่รถมักจะติด เกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ ได้ 3 ประการ คือ ประการที่ 1 อุบัติเหตุ รถชนกัน หรือรถเสีย จอดบนไหล่ถนน ทำให้เกิดคอขวด รถที่วิ่งมาหลายๆ แถว ต้องลดแถวลง ประการที่ 2 คือ ไฟจราจร ที่มีอยู่หลายจุด ทำให้รถติดยาวและเมื่อไฟเขียวค่อยๆ เคลื่อนออก ตามกำลังของรถ และประการที่ 3 คือ รถรอคิวที่จะเข้าปั๊ม ปตท. เป็นแถวยาวออกมานอกถนน ซึ่งผมก็งง ว่ารอคิวขนาดนั้น เสียเวลามาก ทำไมไม่กระจายไปเข้าปั๊มอื่นๆ บ้าง เรื่องนี้สำคัญมาก ที่ทางการควรเน้นให้ปั๊มน้ำมันอื่นๆ จัดบริการให้รถเข้าพัก เหมือนกับ ปตท.บ้าง

สิ่งที่เกิดขึ้นประจำในขณะที่รถติดต่อแถวกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในเมือง นอกเมือง หรือที่ไหนของประเทศไทย จะต้องมีรถวิ่งออกนอกแถวมาแทรกเข้าข้างหน้าแถว และเมื่อมีรถออกมา 1 คัน ก็จะมีคันที่ 2, 3 และคันต่อๆ ตามมา เป็นการเพิ่มจำนวนแถว ทำให้ถนนที่เป็นทางผ่านทางตรง แคบเข้าไปอีก ถึงขนาด รถต้องติดทุกแถว ค่อยๆ เลื่อนผ่านไปทีละคัน ทีละคัน เรื่องนี้เป็นเอกลักษณ์ น่าจะเก็บไว้โชว์ชาวต่างประเทศ ว่าไม่มีที่ไหนละเมิดกฎ หรือละเมิดสิทธิ์คนอื่นได้เก่งเท่าการขับรถในเมืองไทยนี้

เมื่อขับรถเลยกำแพงเพชรไปสักพักใหญ่ๆ จะมีแผงลอยจำหน่ายมะม่วงอยู่ ได้แวะซื้อเป็นประจำ โดยเฉพาะอกร่อง เพราะของเขาแก่จัด เลยทำให้หวาน กินกับข้าวเหนียวได้ดี เมื่อขับรถไปถึงอำเภอวังเจ้า เลยไปอีกเล็กน้อยจะเห็นแผงขายเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ ตู้ โต๊ะราคาถูก สามารถซื้อบรรทุกไปได้ ถ้ารถมีที่ว่างมากพอ แต่ถ้าไม่มีที่ว่าง ทางร้านมีบริการส่งถึงที่ด้วย สำหรับคุณภาพนั้นก็ต้องเป็นไปตามราคาด้วย ต้องเลือกให้ดีๆ หน่อย

เมื่อถึงเชียงใหม่แล้ว การที่ผู้ใดจะไปเที่ยวไหน แล้วแต่อัธยาศัย ตอนนี้มีที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ได้ยินมาไม่นาน เช่น ผาม่อนแจ่ม ซึ่งขึ้นเหนือไปทางแม่ริม หรืออุทยานผาช่อ ที่อยู่ทางใต้ ผ่านอำเภอแม่วางไป แต่ผมไม่ค่อยได้ไปที่ไหน อยู่ภายในเมืองตามประสาคนสูงอายุ

ปรารถนาที่อยากจะมาอยู่เชียงใหม่ให้สงบๆ กรุงเทพฯ คือบ้านเราที่อยู่มาตั้งแต่เกิด แต่ตอนนี้ ที่บ้านกรุงเทพฯ มียุง น้ำท่วม และรถติดอย่างมากๆ ไปไหนก็ไม่สะดวก จึงฝันไว้ว่าสักวันหนึ่ง คงได้มาอยู่เชียงใหม่ให้นานๆ