เผยแพร่ |
---|
ถั่วลิสง เป็นพืชอาหารชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมบริโภคค่อนข้างมาก ทั้งใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารหวานคาวต่างๆ และผลิตภัณฑ์แปรรูป มีบางส่วนนำไปสกัดน้ำมันและกากใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ด้วย
ปัจจุบัน การผลิตถั่วลิสงของไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีน อินเดีย พม่า เวียดนาม รวมถึง สปป. ลาว แต่ละปีมีปริมาณกว่า 30,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า ประมาณ 1,000 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม ถั่วลิสง เป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงการปนเปื้อนอะฟลาทอกซิน ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะถั่วลิสงที่มีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวไม่ดี มีโอกาสที่จะเกิดเชื้อราและมีอะฟลาทอกซินปนเปื้อนสูง
สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) จึงเร่งจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง เมล็ดถั่วลิสง : ข้อกำหนดปริมาณอะฟลาทอกซิน (มกษ. 4702-2557) และประกาศใช้เป็นมาตรฐานบังคับของประเทศ ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่ วันที่ 7 มกราคม 2560 เพื่อควบคุมคุณภาพเมล็ดถั่วลิสงนำเข้า และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคของไทยด้วย

นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า เนื่องจากแต่ละปีประเทศไทยมีการนำเข้าถั่วลิสงจาก สปป. ลาว ค่อนข้างสูง มกอช. จึงร่วมกับกรมวิชาการเกษตรเร่งสนับสนุนการจัดทำระบบตรวจสอบและรับรองถั่วลิสงส่งออกให้แก่กระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ของ สปป. ลาว เพื่อเตรียมความพร้อมให้ สปป. ลาว สามารถปฏิบัติตามมาตรฐาน มกษ. 4702-2557 ได้รองรับมาตรฐานบังคับถั่วลิสงของไทยที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2560 นี้ ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคทางการค้า ทำให้การส่งออกถั่วลิสงจาก สปป. ลาว มายังไทยเกิดความคล่องตัว ที่สำคัญไทยยังจะได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูงขึ้น ส่งผลดีและได้ประโยชน์ทั้งไทยและ สปป. ลาว
ภายหลังมาตรฐานฯ เมล็ดถั่วลิสงมีผลบังคับใช้ การส่งออกเมล็ดถั่วลิสงกะเทาะเปลือกจากทุกประเทศมายังไทย จะต้องแนบใบรับรองสถานที่ผลิตและเอกสารแสดงผลตรวจสอบเมล็ดถั่วลิสงล็อตที่ส่งออกมาด้วย โดยค่าปริมาณอะฟลาทอกซินในถั่วลิสงต้องไม่เกิน 20 พีพีบี (ppb) หรือ 0.02 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม จากห้องปฏิบัติการที่ไทยยอมรับ เพื่อให้มั่นใจว่าเมล็ดถั่วลิสงที่ส่งออกมาจากแหล่งผลิตที่มีมาตรการควบคุมสอดคล้องกับมาตรฐานบังคับฉบับนี้ ทั้งกระบวนการคัดแยกเมล็ด การสุ่มตรวจอะฟลาทอกซิน และการเก็บบันทึกข้อมูลไว้ตรวจประเมิน เป็นต้น

ด้าน คุณคำตัน ธาดาวงษ์ รองอธิบดีกรมปลูกฝัง กระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ สปป. ลาว กล่าวว่า แหล่งผลิตถั่วลิสง หรือ “บักถั่วดิน” ของ สปป. ลาว กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ตอนใต้ เช่น แขวงจำปาสัก สาละวัน และสะหวันนะเขต แต่ละปีพื้นที่เพาะปลูกไม่มีความแน่นอน เพิ่ม-ลด ขึ้นอยู่กับราคาผลผลิตและความต้องการของตลาด หากราคาดีเกษตรกรจะหันมาปลูกถั่วลิสงมาก แต่ถ้าราคาต่ำเกษตรกรจะเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นแทน เช่น มันสำปะหลังหรือมันต้น
โดยเฉพาะปีนี้พื้นที่ปลูกถั่วลิสงใน สปป. ลาว ลดลงค่อนข้างมาก เพราะเกษตรกรหันไปปลูกมันต้นที่มีราคาดีกว่า เช่น แขวงจำปาสัก พื้นที่ปลูกถั่วลิสงลดลงเหลือ ประมาณ 3,000 เฮกตาร์ หรือ 18,750 ไร่ ได้ผลผลิตเฉลี่ย 2.3 ตัน ต่อเฮกตาร์ ที่ได้ผลผลิตต่ำเพราะเกษตรกรของ สปป. ลาว ยังใช้พันธุ์ถั่วลิสงพื้นบ้านดั้งเดิม มีการปลูกแบบวิถีชาวบ้านอาศัยธรรมชาติ และไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี
ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2559 สปป. ลาว ส่งออกถั่วลิสงผ่านด่านแขวงจำปาสักมายังไทย ในรูปแบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) แล้ว ประมาณ 553.60 ตัน คิดเป็นมูลค่า 171,080 เหรียญสหรัฐ ซึ่งปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย เพราะเกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น และหลายพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งด้วย
สำหรับการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานสินค้าถั่วลิสงเพื่อส่งออก สปป. ลาว จะเร่งพัฒนาตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการส่งออก โดยจะเผยแพร่ความรู้และสร้างความเข้าใจขั้นตอนวิธีการผลิตถั่วลิสงให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตามเงื่อนไขการนำเข้าของไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงกะเทาะเปลือกถั่วลิสงทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ เป็นจุดสำคัญที่จะต้องพัฒนาและปรับปรุงระบบการจัดการ การคัดแยกเมล็ด และเก็บรักษาคุณภาพ ซึ่งจะทำให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ถือเป็นเรื่องท้าท้ายที่ประเทศผู้ส่งออกต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมาตรฐานสินค้ามากขึ้น

ขณะนี้ สปป. ลาว อยู่ระหว่างปรับปรุงกฎหมายป้องกันพืช ซึ่งจะนำเข้าสู่วาระประชุมสภาแห่งชาติให้พิจารณารับรองในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเป็นกฎหมายพื้นฐาน ทั้งยังเร่งสร้างดำรัสว่าด้วยยาปราบศัตรูพืช ซึ่งจะควบคุมการใช้ยาปราบศัตรูพืชให้มีความปลอดภัย ไม่มีสารตกค้างในผลผลิต และเร่งเตรียมความพร้อมในการส่งออกถั่วลิสงให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของไทย โดยเร่งพัฒนาและถ่ายทอดบทเรียนที่ได้รับจาก มกอช. และกรมวิชาการเกษตร ให้กับเจ้าหน้าที่ สปป. ลาว เพิ่มขึ้น เช่น เทคนิคการตรวจสอบอะฟลาทอกซินในเมล็ดถั่วลิสงที่จะส่งออก พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรห้องปฏิบัติการให้มีความรู้ ความสามารถ และมุ่งพัฒนาห้องปฏิบัติการของสำนักงานเกษตรและป่าไม้แขวง (PAFO) จำปาสัก ให้เป็นต้นแบบและเป็นศูนย์กลางการตรวจสอบรับรองถั่วลิสงเพื่อการส่งออกให้มีความเข้มแข็ง เพื่อกวดขันไม่ให้มีปัญหาอะฟลาทอกซินปนเปื้อนสินค้าส่งออก และสร้างความมั่นใจให้กับไทย
“เกษตรกรที่ปลูกถั่วลิสงใน สปป. ลาว เป็นเกษตรกรรายย่อย ปลูกแบบธรรมชาติโดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปีละ 2 รอบการผลิต คือช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม และเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ใช้แรงงานในครัวเรือน ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องสารพิษตกค้างในผลผลิต ในอนาคต สปป. ลาว ได้มุ่งพัฒนามาตรฐานด้านกสิกรรมโดยจะส่งเสริมในพื้นที่ที่เหมาะสม ใช้ตลาดนำการผลิต และเป็นไปตามความต้องการของเกษตรกร สำหรับถั่วลิสงอาจต้องยกระดับเข้าสู่มาตรฐาน GAP โดยนำมาตรฐาน ASEAN GAP มาปรับใช้ แต่คงต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวและพัฒนาต่อไป เช่นเดียวกับพืชอีกหลายชนิดที่มีศักยภาพและตลาดต้องการ จำเป็นต้องยกระดับการผลิตตามมาตรฐาน ASEAN GAP ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ชา ข้าว มันต้น และพืชผักกินใบ” รองอธิบดีกรมปลูกฝัง สปป. ลาว กล่าว
ด้าน คุณเป สีลาวี เจ้าของโรงกะเทาะเปลือกถั่วลิสงบ้านปากท่อ เมืองเหล่างาม แขวงสาละวัน สปป. ลาว กล่าวว่า หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตบักถั่วดินแล้ว เกษตรกรจะตากบักถั่วดิน ประมาณ 3 แดด หรือ 3 วัน ก่อนที่จะนำมาขาย โดยโรงกะเทาะเปลือกจะนำบักถั่วดินเข้าเครื่องสีได้เมล็ดถั่วดิน จากนั้นนำเมล็ดไปชั่งและดูคุณภาพโดยรวมเพื่อตีราคารับซื้อ หากคุณภาพดีจะรับซื้ออยู่ที่ กิโลกรัมละ 8,500 กีบ หรือกว่า 30 บาท ต่อกิโลกรัม ถ้าคุณภาพต่ำหรือมีเมล็ดเน่าเสียมาก ก็จะตัดราคาเหลือ 8,000-8,200 กีบ ต่อกิโลกรัม ในช่วงหน้าฝนที่มีฝนตกชุก เกษตรกรตากบักถั่วดินไม่ดี มีความชื้นสูง เมล็ดบักถั่วดิน 1 ตัน จะมีอัตราสูญเสียมากถึง 50 กิโลกรัม แต่บักถั่วดินที่ส่งเข้าสู่โรงงานกะเทาะรอบที่ 2 คือช่วงปลายเดือนตุลาคม-ธันวาคม จะมีคุณภาพดีกว่า อัตราสูญเสียน้อย และเกษตรกรจะได้ราคาสูงกว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรเครือข่ายไม่น้อยกว่า 2,000 คน
ก่อนส่งออกจะมีการคัดแยกเมล็ดถั่วดินที่ไม่มีคุณภาพหรือเมล็ดที่เน่าเสียออก ค่าจ้างคัดแยก กิโลกรัมละ 100 กีบ ให้เหลือเฉพาะเมล็ดที่มีคุณภาพดีแล้วบรรจุถุงกระสอบส่งออกทันที ครั้งละ 30-40 ตัน จะไม่เก็บค้างไว้ในสต๊อกซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเกิดเชื้อราได้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการส่งออกเมล็ดบักถั่วดินผ่านด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ปีละ 2,000-3,000 ตัน แต่ปีนี้ปริมาณผลผลิตบักถั่วดินในพื้นที่แขวงสาละวันลดลง เพราะเกษตรกรแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไปปลูกมันต้นเพิ่มขึ้น จึงมีบักถั่วดินเข้าสู่โรงงานกะเทาะเปลือกน้อย คาดว่า ปริมาณส่งออกจะลดลงเหลือ ประมาณ 1,500 ตัน เท่านั้น
“แต่ในปีหน้าคาดว่า เกษตรกรจะกลับมาปลูกบักถั่วดินเพิ่มขึ้นอีก และจะมีปริมาณผลผลิตบักถั่วดินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศไทยบังคับใช้มาตรฐานก็จำเป็นต้องพัฒนาและปรับระบบการผลิตถั่วลิสงเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการค้าในอนาคต” ท้าวเป สีลาวี กล่าวทิ้งท้าย