ค้าภายในเผยข้าวหอมมะลิเกรดเอราคา18,000บาทต่อตัน สูงเป็นประวัติการณ์ แนะชาวนาทยอยขายเพื่อไม่ให้กดราคาข้าว

ค้าภายในเผยข้าวหอมมะลิเกรดเอราคา 18,000 บาทต่อตัน สูงเป็นประวัติการณ์ แนะให้ชาวนาทยอยขายเพื่อไม่ให้กดราคาข้าว เมื่อผลผลิตออกมามีผลต่อความต้องการรถเกี่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวหารือพร้อมช่วยเหลือลดราคา ลดค่าธรรมเพื่อลดราคาให้ชาวนา

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมถึง “แนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวเพื่อยกระดับราคาข้าวให้แก่เกษตรกร” ว่าจากประมาณการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดว่าผลผลิตข้าวนาปี 2561/62 ประมาณ 25 ล้านตันข้าวเลือก โดยแบ่งเป็นข้าวขาวและข้าวทั่วไปประมาณ 18 ล้านตันข้าวเปลือก ส่วนข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 7 ล้านตันข้าวเปลือก ปัจจุบันผลผลิตข้าวเริ่มทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่แนะให้ชาวนาทยอยขายเพื่อไม่ให้กดราคาข้าวลง โดยรัฐบาลมีมาตรการชะลอขายนำข้าวขึ้นยุ่งฉาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

แต่สำหรับช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2561 เป็นช่วงที่ข้าวหอมมะลิออกมากที่สุด โดยเฉพาะภาคอีสานประมาณ 5 ล้านตันข้าวเปลือก แต่ยอมรับว่าผลผลิตปีนี้น้อย เนื่องจากหลายพื้นที่ลดพื้นที่เพาะปลูกลง เพราะปัญหาน้ำไม่มี ผลผลิตต่อไร่ก็ลดลงจาก 800-900 กิโลกรัมต่อไร่ มาอยู่ที่ 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ ดังนั้น ราคาข้าวขณะนี้จึงเป็นปีทองของชาวนา โดยข้าวหอมมะลิเกรดเออยู่ที่ 16,000-18,000 บาทต่อตัน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

ดังนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ข้าวออกมามาก ความต้องการรถเกี่ยวข้าวจึงมีความต้องการเพิ่มขึ้น ปัจจุบันรถเกี่ยวข้องทั้งประเทศมีปริมาณ 30,000 คัน ประมาณ 15,000 คัน จะอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน เชื่อว่าปริมาณรถมีเพียงพอ ต่อความต้องการและเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรช่วงเกี่ยวข้าว กรมการค้าภายในจึงร่วมหารือกับชมรมรถเกี่ยวนวดข้าวไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมอนามัย ในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะค่าบริการ บางพื้นที่รถเกี่ยว รถนวดข้าวไม่เพียงพอ ทำให้เกษตรกรเกี่ยวข้องไม่ทันบ้าง จะทำอย่างไร

เบื้องต้นที่ประชุมเห็นร่วมที่จะช่วยโดยการลดค่าบริการจากเดิม 700 บาทต่อไร่ ลงมาอยู่ที่ 400-500 บาทต่อไร่ ซึ่งก็จะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับชาวนา สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะอำนวยความสะดวกในการอนุญาตให้ผู้ประกอบการรถเกี่ยวบรรทุกขนย้ายรถเกี่ยวนวดข้าว ปีการผลิต 2561/62 เป็นการชั่วคราวตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยผ่อนผันให้รถเกี่ยวข้าววิ่งบนถนนทางหลวงได้ ซึ่งจากเดิมห้าม เนื่องจากรถเกี่ยวข้าวมีขนาดและความกว้างเกินกฎหมายกำหนด แต่จะผ่อนผันให้ในช่วงดังกล่าว และจะไม่มีค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมในการนำรถมาวิ่งบนถนน

พร้อมกันนี้ก็จะประสานไปทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พิจารณายกเว้นหรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวนอกสถานที่ในอัตราต่ำสุดด้วย นอกจากนี้ ยังจะหารือกับกระทรวงสาธารณสุข ช่วยลดค่าธรรมเนียม หรือขอยกเว้นเรียกเก็บ กรณีที่รถเกี่ยวข้าวเป็นเครื่องจักที่ก่อให้เกิดมลภาวะลงเพื่อเป็นการลดภาระให้กับชาวนา เนื่องจากภาระดังกล่าวนี้ถูกผลักไปอยู่ที่ชาวนา ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็จะเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณะสุขในการพิจารณาช่วยเหลือต่อไป

สำหรับกรณีกระแสข่าวที่พบว่ามีการพบว่ามีการนำข้าวขาวจากปทุม และสุพรรณบุรี ปนกับข้าวหอมมะลิและนำไปขายที่ภาคอีสาน นายวิชัยกล่าวว่า กรมฯไม่ได้นิ่งนอนใจได้ประสานไปทางพาณิชย์จังหวัด ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด ติดตามและตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีการปลอมปนจริง แต่เพื่อป้องกันปัญหาได้กำชับเจ้าหน้าที่ หากพบเห็นให้ตรวจสอบหากพบว่ากระทำผิดให้ดำเนินการทางกฎหมายทันที ซึ่งมีโทษทางอาญา เรื่องของฉ้อโกง และปลอมปนสินค้า ซึ่งมีโทษทั้งจำและปรับ แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าโรงสีมีความชำนาญในเรื่องของการดูข้าวอยู่แล้ว จึงมองว่าโรงสีสามารถแยกชนิดข้าวได้

สำหรับข้าวหอมมะลิ ปัจจุบันพบว่าในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เช่น ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น ชัยภูมิ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิเกิดภัยแล้ง ส่งผลให้ในบางพื้นที่ผลผลิตข้าวเปลือกคาดการณ์ว่าจะเสียหายมากกว่า 20% โดยราคาข้าว ความชื้น 15% ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ข้าวเจ้า 5% ปรับตัวสูงขึ้นจาก 7,300 – 7,800 บาท/ตัน มาอยู่ที่ 7,500 – 7,900 บาท/ตัน ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาจะไม่ปรับลดลงไปกว่านี้แล้ว ในส่วนข้าวหอมมะลิ ราคาปรับตัวสูงขึ้นจาก 11,550 – 14,550 บาท/ตัน มาอยู่ที่ 14,450 – 17,500 บาท/ตัน (เกี่ยวสด 13,500-14,200) และจะยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปัญหาภัยแล้งในแหล่งเพาะปลูกสำคัญ

สำหรับสถานการณ์คำสั่งซื้อขณะนี้ มีมาอย่างต่อเนื่องจากต่างประเทศ อาทิ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และประเทศในแถบแอฟริกา โดยในปี 2561 คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ปริมาณ 11 ล้านตันอย่างแน่นอน