เกาะติด 7 เดือน ส่งออกสินค้าอินทรีย์ สศก. เล็งผลักดันแผนส่งออก ขยายพิกัดศุลกากรสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่ม

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์มาช้านานในสินค้าหลากหลายชนิดสินค้า อาทิ ข้าว พืชผัก และผลไม้ต่างๆ ซึ่งแต่ละปีสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการจัดเก็บสถิติที่ชัดเจนผ่านระบบพิกัดศุลกากรของไทย    ยกเว้น สินค้าข้าวอินทรีย์ ดังนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560-2564 ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 กลยุทธ์ที่ 3.2 แนวทางการดำเนินงานที่ 5 กำหนดให้มีการจัดทำพิกัดศุลกากรสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติได้มอบหมายให้ สศก. เป็นผู้ดำเนินการ

ในการนี้ สศก. ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำรหัสสถิติต่อท้ายพิกัดศุลกากร ระยะที่ 1 สำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่มอีก 5 ชนิด (นอกเหนือจากข้าว) ได้แก่ 1. ใบชาเขียว 2. มะพร้าวอ่อน  3. กะทิสำเร็จรูป 4. มังคุด และ 5. ทุเรียน ตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 45/2561 เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรหัสสถิติสินค้า ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคม 2561 ไปแล้วนั้น

สศก. ได้ติดตามสถิติการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ดังกล่าว ตั้งแต่ประกาศกรมศุลกากรมีผลใช้บังคับ (ระหว่างมีนาคม ถึง กันยายน 2561) พบว่า การส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ 5 ชนิด ช่วง 7 เดือน        มีปริมาณการส่งออกรวมทั้งสิ้น 720 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.08 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดของสินค้า 5 ชนิดนี้ และมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการส่งออกสินค้าอินทรีย์เฉลี่ยในช่วง 7 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 30.53 โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ 5 ชนิด รวมทั้งสิ้น 76 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.16 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของสินค้าทั้ง 5 ชนิด อัตราการขยายตัวของมูลค่าการ   ส่งออกเฉลี่ยร้อยละ 105.15

สำหรับสินค้าที่มีปริมาณการส่งออกสูงสุดตามลำดับ คือ มะพร้าวอ่อนอินทรีย์ ทุเรียนอินทรีย์และทุเรียนอินทรีย์แช่เย็นจนแข็ง  กะทิอินทรีย์สำเร็จรูป ใบชาเขียวอินทรีย์ และมังคุดอินทรีย์ โดยปริมาณการส่งออกและมูลค่าการส่งออก 3 ลำดับแรก ได้แก่

มะพร้าวอ่อนอินทรีย์ (มีนาคม-กันยายน 2561) มีปริมาณการส่งออกมากที่สุดรวม 475 ตัน คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 0.89 ของปริมาณการส่งออกมะพร้าวอ่อนทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่       ร้อยละ 10.26  มูลค่าการส่งออกมะพร้าวอ่อนอินทรีย์ในช่วง 7 เดือน มีมูลค่า 20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 1.25 ของมูลค่าการส่งออกมะพร้าวอ่อนทั้งหมด ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกหลัก (ร้อยละ 80)

ทุเรียนอินทรีย์และทุเรียนอินทรีย์แช่เย็นจนแข็ง (มีนาคม-กันยายน 2561) มีปริมาณการส่งออก 193 ตัน คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 0.04 ของปริมาณการส่งออกทุเรียนทั้งหมด ตลาดส่งออกหลักได้แก่ จีน ทั้งนี้ ทุเรียนอินทรีย์และทุเรียนอินทรีย์แช่เย็นจนแข็ง นับเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด โดยช่วง 7 เดือน คิดเป็นมูลค่า 52 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 0.17 ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนทั้งหมด

กะทิอินทรีย์สำเร็จรูป (มีนาคม-กันยายน 2561) ปริมาณส่งออก 52 ตัน คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 0.03 ของปริมาณส่งออกกะทิสำเร็จรูปทั้งหมด และมีมูลค่าการส่งออกช่วง 7 เดือน รวม 3 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 0.04 ของมูลค่าการส่งออกกะทิสำเร็จรูปทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของใบชาเขียวอินทรีย์ และ มังคุดอินทรีย์ ยังไม่มีการส่งออกมากนัก ทั้งนี้ สศก. จะเตรียมเสนอคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้จัดทำรหัสสถิติต่อท้ายพิกัดศุลกากรสำหรับชนิดสินค้าเกษตรอินทรีย์เพิ่มเติม ในระยะที่ 2 รวมทั้งกำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ต่อไป เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ด้านพัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ในการผลักดันให้มีพิกัดศุลกากรสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง รองเลขาธิการ สศก. กล่าว