สวนผักปลอดสารพิษ ในทำเนียบขาว มรดกของ ‘มิเชล โอบามา’

ภาพจาก firstladies.org

สวนผักปลอดสารพิษที่สนามเซาท์ลอน ในทำเนียบขาว เป็นหนึ่งในความริเริ่มของ “มิเชล โอบามา” ที่ลงมือลงแรงปลูกผัก รดน้ำ พรวนดินด้วยตัวเอง เมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในทำเนียบขาวในฐานะ สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ เมื่อปี 2009 ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นตัวอย่างของการส่งเสริมการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยผักสวนครัวที่ปลูกได้ส่วนหนึ่งนอกจากจะให้ครัวทำเนียบขาวปรุงมาเป็นอาหารเสิร์ฟครอบครัวหมายเลข 1 แล้ว อีกส่วนหนึ่งก็นำไปมอบให้องค์การธนาคารอาหารเพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่นต่อ

ความริเริ่มนี้ยังนำไปสู่โครงการดีๆ อีกหลายโครงการของมิเชล เช่น Let’s Move ที่เป็นโครงการส่งเสริมอาหารกลางวันในโรงเรียนให้มีคุณค่าทางโภชนาการ การผลักดันให้สภาคองเกรสสหรัฐผ่านรัฐบัญญัติ”เพื่อสุขภาพ,เด็กปลอดจากความหิวโหย” ในปี 2010 และมิเชลยังช่วยจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลไร “พาร์ทเนอร์ชิป ฟอร์ เฮลธิเออร์ อเมริกา” (พีเอชเอ) ที่มุ่งทำงานส่งเสริมให้บริษัทผู้ผลิตอาหารยกระดับคุณภาพสินค้าอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและให้ติดป้ายฉลากสินค้าที่บ่งบอกถึงคุณค่าสารอาหารของผลิตภัณฑ์อาหารนั้นๆ ให้ผู้บริโภคได้รับรู้อย่างชัดเจน

แต่การจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งลงของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้เป็นสามีในต้นปีหน้า นั่นก็จะทำให้มิเชล ซึ่งเคยให้ฉายาตัวเองแบบฮาๆว่า ผบ.ทบ. หรือผู้บัญชาการที่บ้าน พ้นจากตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลข 1 ไปด้วย ทำให้คนทำงานที่ร่วมหัวจมท้ายมากับมิเชล รวมถึงกลุ่มนักรณรงค์ด้านสุขภาพอดห่วงกังวลไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกเขาร่วมกันผลักดันมาเพื่อหวังให้ชาวอเมริกันตระหนักถึงการมีสุขภาพที่ดีและกินอาหารที่เป็นประโยชน์ จะถูกลดทอนความสำคัญไป โดยเฉพาะการก้าวเข้ามากุมอำนาจในทำเนียบขาวของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ซึ่งประกาศตัวชัดเจนว่าเป็น สาวกอาหารจังค์ฟู้ด ที่อาจทำให้สิ่งดีๆ ที่มิเชลและผู้ที่ร่วมผลักดันทำด้วยกันมาในเรื่องการใส่ใจสุขภาพ อาจต้องชะงักงันหรือถูกล้มล้างไป

ในมาตรการที่มิเชลร่วมผลักดัน ซึ่งถูกเล็งกันเอาไว้ว่าจะถูกเหมารวมเป็น “กฎระเบียบใหม่ที่เป็นภาระ” ในมุมมองของรัฐบาลทรัมป์ ที่อาจจะถูกปรับเปลี่ยนไป นั่นคือ โครงการอาหารกลางวันและมาตรฐานการติดป้ายฉลากข้อมูลอาหาร ที่ก่อนหน้านี้ ทอดด์ โรคิตา ส.ส.รัฐอินดีแอนาจากพรรครีพับลิกัน ได้เสนอให้มีการทบทวนนโยบายดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้อาหารกลางวันของเด็กนักเรียนเป็นอะไรที่ “กินได้มากขึ้น”

ทางองค์กร พีเอชเอ ที่มิเชล ยังนั่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ก็ให้คำมั่นหนักแน่นว่าทางองค์กรจะยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อสนับสนุนให้บริษัทผู้ผลิตอาหาร สถานศึกษา โรงพยาบาลและโรงแรม ปรับปรุงคุณภาพอาหารให้มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นและเน้นให้ข้อมูลเรื่องคุณค่าอาหารแก่ผู้บริโภคที่ชัดเจนต่อไป

หลายบริษัทเอกชนที่เป็นพันธมิตรโดยสมัครใจต่อการผลักดันข้างต้นอย่าง วอลมาร์ท ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่โลก และ ควิกทริป เครือข่ายร้านสะดวกซื้อในสหรัฐ ก็ให้คำมั่นว่าจะยึดมั่นในพันธกิจที่มีอยู่กับทางพีเอชเอ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆเกิดขึ้นมาจากทำเนียบขาวและแคปิตอลฮิลล์ก็ตาม โดยโฆษกของควิกทริปยืนยันว่าจะจัดหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เช่นเน้นการจัดหา ผัก ผลไม้ และอาหารจำพวกธัญพืช มานำเสนอแก่ลูกค้าในราคาที่สบายกระเป๋า และว่า พันธกิจนี้ไม่เพียงจะเดินหน้าต่อไป หากแต่จะผลักดันให้เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ  ส่วนเมลาเนีย ทรัมป์ ว่าที่สุภาพสตรีหมายเลข 1 คนใหม่ จะยอมรับมรดกตกทอด จับพลั่วจับเสียมปลูกผัก ทำสวน หรือสานต่อโครงการดีๆจากมิเชลหรือไม่ ต้องรอดู!