จีดีพี ภาคเกษตร ปี 62 แนวโน้มโตลดลง คาดเหลือ 2.5-3.5%

dav

นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2561 พบว่า มีการขยายตัวทั้งปี 4.6% และ ปี 2562 คาดขยายตัว 2.5-3.5% โดยทุกสาขายังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง และสภาพอากาศโดยทั่วไป ประกอบกับปริมาณน้ำที่ยังคงเอื้ออำนวยต่อการผลิตทางการเกษตร ทั้งนี้ ปี 2561 สาขาการเกษตรที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาพืช ปศุสัตว์ บริการทางการเกษตร และป่าไม้ เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ มุ่งเน้นการปฏิรูปภาคเกษตร โดยได้ดำเนินนโยบายสำคัญต่างๆ รวมทั้งปริมาณน้ำและสภาพอากาศยังคงเอื้ออำนวยต่อการผลิตทางการเกษตร ทำให้พืชส่วนใหญ่เจริญเติบโตได้ดีและมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น

นางสาวทัศนีย์ กล่าวว่า ปัจจัยลบเกิดจากช่วงต้นฤดูเพาะปลูก หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวนาปีสำคัญประสบภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ลดลง เมื่อพิจารณาเป็นรายสาขา พบว่า สาขาพืช ปี 2561 ขยายตัว 5.4% ผลจากปริมาณน้ำใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำหลักบริเวณ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เพียงพอ ประกอบกับในช่วงฤดูฝนมีปริมาณน้ำเหมาะสม ซึ่งทางภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการส่งเสริมการเพาะปลูกพืชในพื้นที่ที่เหมาะสม การจัดหาแหล่งน้ำ และการใช้พันธุ์ที่ดี ส่งผลให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มการดูแลเอาใจใส่มากขึ้น

นางสาวทัศนีย์ กล่าวต่อว่า การผลิตพืชบางส่วนยังคงได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วมและภาวะแห้งแล้งในบางพื้นที่ แต่ภาพรวมไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในสาขาพืชมากนัก โดยผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญ และปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรสามารถเพาะปลูกข้าวได้สองรอบตามปกติ ประกอบกับราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น เกษตรกรจึงขยายเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นในพื้นที่นาที่เคยปล่อยว่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกแทนพืชอื่น เช่น อ้อยโรงงาน และมันสำปะหลัง เป็นต้น

นางสาวทัศนีย์ กล่าวต่อ ด้านราคาช่วงเดือนมกราคม–พฤศจิกายน 2561 สินค้าปศุสัตว์ส่วนใหญ่ที่มีราคาเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับปี 2560 ได้แก่ ไก่เนื้อ สุกร และโคเนื้อ เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น แม้จะมีความต้องการบริโภคอย่างต่อเนื่องทั้งปี แต่ผลผลิตยังคงมีมาก โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ภาครัฐได้มีมาตรการให้ลดปริมาณการผลิตสินค้าปศุสัตว์ โดยปลดระวางแม่พันธุ์สุกร นำสุกรชำแหละเข้าห้องเย็น รวมทั้งมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคสุกรหัน โคเนื้อ และไก่เนื้อ ส่งผลให้ราคาสินค้าปศุสัตว์ในช่วงครึ่งหลังของปีปรับตัวสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ราคาเฉลี่ยทั้งปียังคงต่ำกว่าปี 2560 สำหรับไข่ไก่และน้ำนมดิบ มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเกษตรกรได้รับแรงจูงใจจากเกณฑ์การรับซื้อน้ำนมดิบที่ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ส่วนราคาไข่ไก่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่

นางสาวทัศนีย์ กล่าวว่า สาขาประมงในปี 2561 หดตัว 1% โดยกุ้งทะเลเพาะเลี้ยง มีผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงจากการที่เกษตรกรส่วนใหญ่ชะลอการลงลูกกุ้ง ซึ่งเป็นผลจากผลผลิตกุ้งของโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนเกิดภาวะกุ้งล้นตลาด สำหรับปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลผลิตประมงน้ำจืด อาทิ ปลานิล ปลาดุก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เป็นผลมาจากปริมาณน้ำมีเพียงพอต่อการเลี้ยง เกษตรกรสามารถขยายเนื้อ เพิ่มรอบการเลี้ยง และเพิ่มอัตราการปล่อยลูกพันธุ์

ส่วนสาขาป่าไม้ ในปี 2561 ขยายตัว 2% โดยผลผลิตป่าไม้สำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ไม้ยางพารา ครั่ง ถ่านไม้ และรังนกนางแอ่น ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น สำหรับผลผลิตครั่ง มีการขยายตัวจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ครั่งมีการเจริญเติบโตและฟื้นตัวได้ดีขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น สำหรับผลผลิตครั่ง มีการขยายตัวจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ครั่งมีการเจริญเติบโตและฟื้นตัวได้ดีขึ้น ขณะที่ถ่านไม้ มีการขยายตัวจากการใช้ในครัวเรือน ด้านผลผลิตรังนกนางแอ่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปิดตลาดรังนกของประเทศจีน ทำให้ครึ่งหลังปี 2561 มีการส่งออกที่ดีขึ้น

ที่มา : มติชนออนไลน์