ที่มา | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการเป็นประธานร่วมกับ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว. พลังงาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ โดยการใช้น้ำมันปาล์มดิบผลิตกระแสไฟฟ้า ระหว่าง นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน และ นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และ นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร กระทรวงพาณิชย์ ว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จึงมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2561 เห็นชอบมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศโดยการใช้น้ำมันปาล์มดิบผลิตกระแสไฟฟ้า ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ โดยให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน จำนวน 160,000 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง หน่วยที่ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา และให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนการจัดหาน้ำมันปาล์มดิบ ให้แก่ กฟผ.
สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ กฟผ. เป็นผู้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 160,000 ตัน ในราคากิโลกรัม (ก.ก.) ละ 18 บาท ส่งที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง ด้วยวิธีจัดซื้อจัดจ้างตามข้อบังคับ ระเบียบ ข้อกำหนด ของ กฟผ. เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง
ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน เป็นหน่วยงานสนับสนุนการจัดหาน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ. ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีดำเนินมาตรการ รับสมัครผู้ประสงค์เสนอขายน้ำมันปาล์มดิบให้แก่ กฟผ. คัดเลือกและจัดสรรปริมาณขาย เพื่อให้ กฟผ. ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งมอบสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและประสานหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องสนับสนุนความช่วยเหลือในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ราคาผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรได้รับอยู่ในระดับสูงกว่า 3 บาท ต่อก.ก.
ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้กรมการค้าภายใน และ กฟผ. ติดตาม ตรวจสอบ กำกับดูแลการดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ปรับกระบวนการจัดหา ราคา สัญญาซื้อขาย ตลอดจนรายละเอียดและหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันเป็นสำคัญ