ไทยเฮ! อียู “ปลดใบเหลือง” ไอยูยู “บิ๊กฉัตร” ประกาศความสำเร็จ ยกระดับประมงไทยสู่สากล

ผู้สื่อข่าว “มติชน” รายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 ตามเวลาท้องถิ่น สหภาพยุโรป (อียู) ได้ประกาศปลด “ใบเหลือง” ประมงไทยอย่างเป็นทางการแล้ว นับเป็นความสำเร็จของรัฐบาลในความพยายามเกือบ 4 ปี ในการยกระดับประมงไทยให้ปลอด ไอยูยู ขณะที่ “บิ๊กฉัตร” พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ยืนยันจะเดินหน้าจัดระเบียบประมงไทย ฟื้นทรัพยากรทางทะล ควบคู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวประมง พร้อมเดินหน้าให้ไทยเป็นประเทศปลอด ไอยูยู โดยสมบูรณ์ และเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหา ไอยูยู ในระดับภูมิภาคต่อไป

เมื่อเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ แถลงข่าวร่วมกับ นายเคอเมนู เวลลา กรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเล และประมง ที่สำนักงานใหญ่อียู ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

โดย นายเวลลา ระบุว่า ตนยินดีที่จะประกาศว่า สหภาพยุโรปได้ตัดสินใจปลดใบเหลืองประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากไทยได้ดำเนินการด้านกฎหมายและด้านการปกครองตรงตามข้อบังคับสากลในการต่อต้านการทำประมง ไอยูยู หลังจากนี้ อียู และไทยจะสร้างกลุ่มการทำงานในการต่อสู้เรื่อง ไอยูยู ร่วมกันต่อไป โดยเฉพาะไทยจะเป็นผู้นำในกลุ่มอาเซียนในการดำเนินการแก้ปัญหาการประมง ไอยูยู พร้อมทั้งยืนยันว่า อียู จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ไทยในการแก้ไขปัญหา ไอยูยู ต่อไป

ด้าน พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับ นายเวลลา ซึ่งไทยเป็นเพียงประเทศเดียวที่ได้รับการพิจารณาในครั้งนี้ว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและความสำเร็จที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันพยายามแก้ไขปัญหาการทำประมง ไอยูยู มาโดยตลอด เนื่องจากตลอดช่วงเวลาเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่ไทยได้ใบเหลืองเมื่อเดือนเมษายน 2558

ไทยได้มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ ไอยูยู จนมีผลเป็นรูปธรรมอย่างครอบคลุมทั้งในด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมง การบริหารจัดการกองเรือ การติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) การตรวจสอบย้อนกลับ และการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทำให้ไทยสามารถแสดงความรับผิดชอบและบทบาททั้งในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่าและรัฐตลาด ในระดับของมาตรฐานสากล ส่งผลให้สหภาพยุโรปปลดใบเหลืองให้ไทย ซึ่งสะท้อนความสำเร็จที่ไทยได้ยกระดับของการทำประมงเชิงพาณิชย์ ทั้งในและนอกน่านน้ำเข้าสู่มาตรฐานสากล และพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับสหภาพยุโรปในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค

“จากนี้ไปรัฐบาลไทยก็ยังมีความมุ่งมั่นทางการเมืองที่แน่วแน่และชัดเจน ที่จะขจัดปัญหาการทำประมง ไอยูยู เพราะตระหนักดีถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง มิใช่เฉพาะแต่ของไทยแต่ของโลกโดยรวม ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาประมง ไอยูยู ได้ถูกกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ผมมากำกับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเชื่อมั่นว่าไทยได้วางรากฐานระบบป้องกันการทำประมง ไอยูยู ไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1. ด้านกฎหมาย 2. ด้านการบริหารจัดการประมง 3. ด้านการบริหารจัดการกองเรือ 4. ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) 5. ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ และ 6. ด้านการบังคับใช้กฎหมาย” พลเอกฉัตรชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการระยะต่อไปหลังการเจรจาระดับทวิภาคีร่วมกับนายเวลลา กรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเล และประมงนั้น ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือในอนาคตกับสหภาพยุโรปเพื่อให้ไทยบรรลุการเป็นประเทศปลอดประมง ไอยูยู หรือ ไอยูยูฟรีได้โดยสมบูรณ์ต่อไป

รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาการทำประมง ไอยูยู ร่วมกันด้วย ประกอบด้วย 3 แผนหลัก ได้แก่ 1. การจัดตั้งคณะทำงานไทย-สหภาพยุโรปเรื่องการต่อต้านการทำประมงไอยูยู โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเป็นกลไกร่วมมือในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง 2. การจัดตั้งคณะทำงานร่วมอาเซียนเพื่อป้องกันและปราบปรามการทำประมง ไอยูยู หรือ เนื่องจากประสบการณ์การแก้ไขปัญหาการทำประมง ไอยูยู ที่ไทยสั่งสมเกือบตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ไทยพร้อมที่จะร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน

“ในโอกาสที่ไทยเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ จึงมีแนวคิดหลักที่จะส่งเสริมหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืนด้วย โดยไทยได้เสนอที่จะผลักดันการจัดทำนโยบายประมงอาเซียน ให้มีผลเป็นรูปธรรม รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานร่วมอาเซียนเพื่อป้องกันและปราบปรามการทำประมง ไอยูยู เพื่อเป็นกลไกการป้องกันการทำประมง ไอยูยู ของภูมิภาคด้วย โดยนายกรัฐมนตรีก็ได้แถลงให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบถึงความมุ่งมั่นของไทยในเรื่องนี้แล้ว ในการประชุมสุดอาเซียน ครั้งที่ 33 เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งไทยกำลังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการในช่วงเดือนเมษายน 2562 เพื่อผลักดันการจัดตั้ง “อาเซียนไอยูยูทาสก์ฟอร์ซ” และขอขอบคุณสหภาพยุโรปที่พร้อมจะสนับสนุนด้านงบประมาณสำหรับการจัดประชุมฯ ด้วย” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว

พลเอก ฉัตรชัย กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ 3 คือ การส่งเสริมการประมงปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงจากการทำประมง ไอยูยู หรือ ไอยูยู ฟรี-ไทยแลนด์ ตามที่ไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการประมงปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงจากการทำประมง ไอยูยู

และได้เชิญผู้แทน อียู เข้าร่วมประชุม เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ซึ่งทาง อียู ได้มอบหมายให้ นายโรแบร์โต เซซารี หัวหน้าฝ่ายนโยบาย ไอยูยู ของกระทรวงกิจการทางทะเลและประมง เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เพื่อนำเสนอการดำเนินงานด้านการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำของสหภาพยุโรป ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแนวทางที่ไทยจะศึกษาเพื่อใช้ในการพัฒนาแผนงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำของไทย และนำไปสู่ไอยูยู ฟรี-ไทยแลนด์ ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป

“ความร่วมมือระหว่างไทย-สหภาพยุโรป ที่ผ่านมา โดยเฉพาะข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีของการทำประมงที่ยั่งยืนที่ให้แก่ไทยมาโดยตลอด และส่งผลต่อความสำเร็จของไทยในวันนี้ สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปต่อไป ขณะเดียวกันยังแสดงถึงความพร้อมของไทยที่จะมีบทบาทนำในการส่งเสริมความยั่งยืนทางทะเลในทุกมิติในระดับภูมิภาคและในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับสหภาพยุโรปด้วย” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มีปัญหาประมง ไอยูยู มีประเทศฟิลิปปินส์ ที่ได้ใบเหลืองเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2557 ก่อนจะปลดใบเหลืองได้ในเดือนเมษายน ปี 2558 ประเทศเวียดนาม ที่ได้ใบเหลืองเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2560 และประเทศกัมพูชาที่ได้ใบแดงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2556

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากปลดใบเหลืองแล้วไทยจะได้ประโยชน์อะไร และต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นประเทศที่ถูกจับตามองอีกครั้ง พลเอก ฉัตรชัย ระบุว่า สิ่งสำคัญคือ ความร่วมมือของชาวประมง ไม่เพียงแต่ส่วนราชการเท่านั้น ทั้งประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ ผู้ประกอบการ ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาปรากฏแล้วว่าหากทำไปตามนโยบาย ความสมบูรณ์จะเกิดขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ในอ่าวไทยกลับมาชัดเจน เชื่อว่าทุกฝ่ายหากเห็นความสำคัญร่วมกันก็จะเดินหน้าไปได้อย่างยั่งยืน

ต่อข้อถามที่ว่า การปลดใบเหลืองครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีกำหนดการเลือกตั้งของไทยในเดือนมีนาคมนี้หรือไม่ นายเวลลา ระบุว่า ตนขอยืนยันได้ว่าเรื่องความยั่งยืนในการประมงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง

ขณะที่ พลเอก ฉัตรชัย กล่าวต่อว่า ไทยทำงานอย่างหนักมีกฎหมายมากกว่า 130 ฉบับ มีการลดจำนวนเรือให้เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ ตลอดเวลา 4 ปี เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญที่สุดต้องทำให้ประเทศนั้นๆ เข้าใจเรื่องความยั่งยืนอย่างแท้จริง