จับกุมขบวนการค้าสัตว์ พบชื่อบุคคลเกี่ยวข้องลับลอบขนซากเต่า-เล็บ-กะโหลกหมี!!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ชุดปฏิบัติการพิเศษ1362 ส่วนประสานความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติ สำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า ร่วมกับชุดเหยี่ยวดง สปป.ที่ 1 (ภาคกลาง) สบอ.3 (บ้านโป่ง) และ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตรวจสอบการครอบครองซากของสัตว์ป่า บริเวณบ้านเลขที่ 135 ชุมชนบ้านมอญ ถนนไผ่เตย ตำบลห้วยจระเข้ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม สืบเนื่องจากการขยายผลการตรวจยึดจับกุม เล็บหมี 1,666 เล็บ ชิ้นส่วนกะโหลกหมี 4 ชิ้น ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า มีบุคคล ชื่อ นายธรรมนูญ คงดี เป็นผู้ส่งกล่องพัสดุ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนส่งเล็บหมี ผลการตรวจค้น พบซากเต่ากระ 2 ซาก และซากเต่าตนุ 1 ชาก ภายในบ้าน ซึ่งนายธรรมนูญฯ แจ้งว่ามีใบครอบครองแต่ยังหาไม่เจอ คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจอายัดไว้ เพื่อรอนายธรรมนูญฯนำหลักฐานมาแสดงกับพนักงานเจ้าหน้าที่ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 บ้านโป่ง ภายใน 15 วัน หากไม่นำมาแสดงก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สำหรับการจับกุมตัวผู้ต้องหาในเครือข่ายลักลอบค้าซากสัตว์ป่าข้ามชาติ ประกอบด้วย 1. นายกะต่าย สีสุวัน (KATAY SISOUVANH) อายุ 28 ปี สัญชาติลาว 2. นายวราพงศ์ พันธ์แจ่ม อายุ 58 ปี ที่อยู่ 19 ซ.รามคำแหง 170 แยก 15 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 3. นายเหงียน วัน เฮิบ (NGUYEN VAN HOP) อายุ 39 ปี สัญชาติเวียดนาม


พร้อมของกลางซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ดังนี้ 1. ซากสัตว์ป่าบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกสีฟ้าพันด้วยเทปกาว จำนวน 4 ห่อ 2. ซากสัตว์ป่าบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกใส ใส่อยู่ภายในถุงดำ จำนวน 1 ถุง  3. ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ป่า จำนวน 4 ชิ้น 4. กระเป๋าเดินทางสีดำ จำนวน 1 ใบ 5. โทรศัพท์มือืถือยี่ห้อไอโฟน 5 สีชมพู จำนวน 1 เครื่อง 6. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 6 สีเงิน จำนวน 1 เครื่อง 7. แม่กุญแจ ยี่ห้อ Tri-Circle จำนวน 1 ตัว หมายเหตุ รายการที่ 1, 2 ตรวจสอบแล้วเป็นซากเล็บหมี จำนวน 1,666 ชิ้น (คาดว่าซากดังกล่าวมาจากหมี ไม่น้อยกว่า 83 ตัว)


พฤติการณ์ สืบเนื่องจากการจับกุมเครือข่ายลักลอบค้างาช้างแปรรูปรายใหญ่ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2561 ที่ด่านศุลกากร นครพนม โดยจับกุม นางเหงียน กี่ ทัน ชาวเวียดนาม พร้อมของกลางงาช้างแปรรูปมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ต่อมาศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทส.ตร.) ได้สั่งการให้มีการสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายดังกล่าวในทุกมิติ ตำรวจภูธรภาค 1 โดยศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ศปทส.ภ.1) ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนขยายผลเครือข่ายกลุ่มขบวนการดังกล่าว

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า จะมีการลักลอบขนซากสัตว์ส่งออกนอกประเทศอีกครั้ง โดยจะนำกระเป๋าบรรจุซากสัตว์โดยสารไปกับรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2562 เวลาประมาณ 16.๐๐ น. ทราบว่ากลุ่มขบวนการได้นำซากสัตว์บรรจุกระเป๋าเดินทางส่งไปกับรถโดยสารประจำทางสาย กรุงเทพ-ปากเซ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรียกตรวจสอบรถคันดังกล่าวได้ที่บริเวณหน้าตู้บริการตำรวจทางหลวงวังน้อย ตำบลสนับทึบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ขบวนการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติที่จับกุมได้นี้ เป็นขบวนการที่มีเครือข่ายกว้างขวาง มีการติดต่อค้าขายและสั่ง การกันทางออนไลน์ มีเครือข่ายเชื่อมโยงหลายจังหวัดในประเทศไทย และเชื่อมโยงกับหลายประเทศ ทั่ง สปป. ลาว, เวียดนาม และจีน และมีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้างาช้างที่จับกุมได้ที่จังหวัดนครพนมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศงช.ตร. จึงได้กำชับให้ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 ควบคุมกำกับ การสืบสวนขยายผล จับกุมผู้ร่วมขบวนการมาลงโทษทุกราย และให้มีการนำกฎหมายฟอกเงินมาบังคับใช้ เพื่อทลายเครือข่ายโดยเฉพาะนายทุนให้หมดสิ้นไป
นับเป็นความสำเร็จในการปราบปรามการค้างาช้างและค้าซากสัตว์ป่าคุ้มครองข้ามชาติของประเทศไทย ที่ทุกภาคส่วนร่วมมือกันดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด

โดยการนำของ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร./ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายตามแผนงาช้างแห่งประเทศไทย จนเป็นที่ยอมรับ ของคณะกรรมการบริหารไซเตส และปลดประเทศไทยออกจากกระบวนการการทำแผนงาช้างแห่งชาติ และเป็นที่ยอมรับของประเทศภาคีสมาชิกทั่วโลก โดยจะมีการพิจารณาปลดประเทศไทยออกจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย ในการประชุมใหญ่ประเทศภาคีสมาชิกไซเตส (CoP18) ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ที่ประเทศเนปาล
ทั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 1 จะได้ทำการสืบสวนปราบปรามเครือข่ายผู้กระทำความผิดที่ส่งผลกระทบต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป

ที่มา : มติชนออนไลน์