หนุ่มร้อยเอ็ดทำนาแบบลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า ในสไตล์ “ชาวนาขาร็อค”

ชาวนาขาร็อค ทำงานหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยเครื่องหยอด โมเดล " นางาม1 "

“ข้าว” เป็นสินค้าที่ทำรายได้เข้าประเทศในแต่ละปีมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท แต่ปัจจุบันชาวนาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยที่นับวันเรี่ยวแรงกำลังจะถดถอยลงทุกที ลูกหลานชาวนาส่วนใหญ่ก็ออกไปทำงานในเมือง ทำให้หลายฝ่ายเกิดความเป็นห่วงว่า อนาคตข้าวไทย จะขาดแคลน เพราะขาดทายาทที่จะมาสืบทอดอาชีพชาวนา

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร เล็งเห็นปัญหาดังกล่าวจึงประกาศนโยบายเร่งด่วนที่จะพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ Young Smart Farmer โดยมุ่งส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เกิดการยอมรับการสืบทอดอาชีพเกษตรกรรมให้ก้าวหน้า สร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ เป็นกำลังหลักในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพป้อนครัวไทย และครัวโลกในอนาคต

กรมส่งเสริมการเกษตร มุ่งพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ใน 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. เกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) คือเกษตรกรคนดี คนเก่ง ที่เป็นต้นแบบของเกษตรกรรายอื่นได้ และมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 180,000 บาท/ปี 2. เกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer : YSF ) มีอายุระหว่าง 17-45 ปี ที่เป็นบุตรหลานของเกษตรกร หรือบุคคลที่ผ่านสถาบันการศึกษามา แต่มีความรักในอาชีพเกษตรกรรม ให้เป็นผู้สืบทอดอาชีพเกษตรกรรมในอนาคต

เครือข่ายเกษตรกรต้นแบบจังหวัดร้อยเอ็ด

เครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ จ.ร้อยเอ็ด (YSF 101)

จังหวัดร้อยเอ็ด มีพื้นที่ปลูกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง โดยเฉพาะ “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของจังหวัด มีแหล่งปลูกสำคัญอยู่ในพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ โพนทราย และปทุมรัตต์ สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ดให้ความสำคัญกับ โครงการพัฒนาเกษตรกร ทั้งกลุ่มเกษตรกรปราดเปรื่อง และเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ เข้มข้นไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด เน้นวิเคราะห์ข้อมูลวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เริ่มจากปรับกระบวนทัศน์เกษตรกรพร้อมสร้างแรงจูงใจ สร้างเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ จ.ร้อยเอ็ด (YSF 101) เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารกลุ่มเกษตรกรเครือข่าย และจัดหาช่องทางการเรียนรู้และการสื่อสาร

รวมทั้งจัดเวทีเรียนรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ กับนักวิชาการ และปราชญ์ชาวบ้าน สร้างเครือข่ายองค์ความรู้ สานสัมพันธ์เชื่อมโยงเครือข่าย สนับสนุนให้เกษตรกรเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่กัน และนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในไร่นาของตัวเอง หากกลุ่มเกษตรกรอยากรู้เรื่องอะไร ขาดตรงไหน อยากไปดูงานที่ไหน ฯลฯ จะมีทีมเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรคอยดูแลประสานงานให้ตลอด

“ชาวนาขาร็อค”

“คุณต้น” หรือ “นิติพงษ์ เจาะจง” วัย 41 ปี เกษตรกรเจ้าของกิจการ “ธัญทิพย์ฟาร์ม” คือหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ “YSF 101” ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ดภาคภูมิใจ และยกย่องให้เป็นเกษตรกรต้นแบบด้านการทำนาแบบลดต้นทุน ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าในแปลงนา และเขายังเป็นชาวนานักประดิษฐ์ สร้างเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวสำหรับนาน้ำตม ที่ช่วยให้การทำนาเป็นเรื่องง่าย ประหยัดแรงงาน ลดเวลาการทำงาน

คุณต้น มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ “YSF 101” เพราะการไปศึกษาดูงานแต่ละแห่ง เป็นการเปิดโลกทรรศน์ ที่เขารู้สึกว่า เสมือนได้มุดหัวออกจากกะลา โลกกว้างใบนี้มีอะไรให้เราเรียนรู้มากมาย เขาฝากขอขอบคุณเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรและปราชญ์ชาวบ้านทุกท่านที่ร่วมแบ่งปันความรู้แบบเต็มๆ ทุกที่ที่ได้ไป และการประชุม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขามาก เป้าหมายแนวทางการปฏิบัติในพื้นที่ของเขาและกลุ่มเครือข่ายได้นำมาซึ่งความสามัคคี การแบ่งปันความรู้ และรายได้อย่างยั่งยืน

คุณต้น เรียนจบการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาดนตรีศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หลังจบการศึกษาก็ทำงานในอาชีพนักดนตรีที่เขาชื่นชอบ

คุณนิติพงษ์ เจาะจง เจ้าของฉายา “ชาวนาขาร็อค”

แต่ทุกวันนี้ เขาทิ้งไมค์หันกลับมาทำอาชีพเกษตรตามรอยบรรพบุรุษ โดยให้เหตุผลว่า “ผมรักในเสียงดนตรี เพราะดนตรีคือ ธรรมชาติ ผมหลงใหลในเกษตรวิถีอินทรีย์ เพราะเป็นวิถีเกษตรที่เคารพธรรมชาติ ” ทำให้เขาถูกเรียกขานว่า “ชาวนาขาร็อค”

จุดเปลี่ยนที่ให้คุณต้นหลงใหลเกษตรวิถีอินทรีย์ เกิดขึ้นเมื่อเขามีโอกาสทดลองทำนาเคมีเหมือนกับเกษตรกรชาวนาทั่วไป เขาพบว่า การทำนาเคมีมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง แต่ได้ผลผลิตต่ำ ข้าวไม่มีคุณภาพ เพราะใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีเยอะมาก ทำให้สุขภาพไม่ดี คุณภาพชีวิตแย่ลงทุกวัน แถมมีหนี้สินก้อนโต

เขาจึงหันมาศึกษาวิธีการทำนาลดต้นทุนจากแหล่งความรู้ต่างๆ และนำมาปรับใช้กับแปลงนาของตัวเอง จึงพบว่า เกษตรวิถีอินทรีย์เป็นหนทางแห่งความสุขยั่งยืนอย่างแท้จริง ใช้ต้นทุนต่ำ ข้าวมีคุณภาพดี ขายได้ราคาดี แถมสุขภาพคนปลูกคนกินก็ดี ทำให้เขามีความสุขมากกับการทำเกษตรวิถีอินทรีย์

“การทำนาเคมี ใช้ปุ๋ย ใช้ยาเต็มที่ ได้ผลผลิตเยอะในช่วงแรก ข้าวอุดมไปด้วยสารพิษ คนทำกับคนกิน สุขภาพไม่ดี สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่การทำนาอินทรีย์ ปลอดสารพิษ ผลผลิตน้อยในช่วงแรก แต่จะดีขึ้นตามลำดับ คนทำกับคนกินสุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี นี่คือ คำตอบที่ทำให้ผมเลือกที่จะทำนาอินทรีย์ครับ” คุณต้น กล่าว

ทำนาแบบลดต้นทุน เพิ่มมูลค่า

การทำเกษตรเชิงเดี่ยว มีความเสี่ยงสูงในด้านผลผลิตและรายได้ คุณต้นจึงมุ่งทำเกษตรแบบผสมผสาน โดยทำนาตามแบบปู่ย่าตายาย คือ “ในน้ำมีปลา” มีบ่อน้ำในไร่นาเพื่อใช้ปลูกข้าวและใช้บ่อน้ำเลี้ยงปลาสำหรับเป็นอาหารและจับปลาออกขายเป็นรายได้เสริมเลี้ยงดูครอบครัว

ต้นกระเจี๊ยบแดงที่ปลูกบนคันนา เพื่อเป็นรายได้เสริม
ผลิตน้ำสมุนไพรพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ เป็นรายได้เสริม

“ในนามีข้าว” เขาปลูกทั้งพันธุ์ข้าวหอมมะลิ และข้าวไรซ์เบอร์รี่ แถมปลูกกระเจี๊ยบแดงบนคันนา เพื่อเป็นรายได้เสริม โดยขายในรูปแบบกระเจี๊ยบตากแห้ง และน้ำสมุนไพรพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น โกจิเบอร์รี่กระเจี๊ยบพุทราจีน ตะไคร้ใบเตยอัญชัน ฯลฯ รสชาติอร่อย ขายดีติดตลาด

คุณต้น ปลูกข้าวแบบลดต้นทุนด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์ โดยใช้เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวนาน้ำตมที่เขาประดิษฐ์ขึ้นใช้เอง เรียกว่า โมเดล “นางาม 1” นับเป็นเครื่องหยอดข้าวแนวใหม่ ใช้งานง่ายมาก สิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์น้อยกว่า แต่ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม ต้นข้าวขึ้นเป็นระเบียบทำให้ดูแลจัดการในแปลงนาได้ง่าย ผลงานสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ไม่ธรรมดา จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ เพราะติด 1 ใน 30 ชิ้นงานเด่น จากโครงการประกวดผลงานเกษตรกรทั่วประเทศในโครงการเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ปี 2558

เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว โมเดล ” นางาม 1″

การปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ของเขา เริ่มต้นจากใส่ใจเรื่องการเตรียมดินที่ดี เพิ่มจุลินทรีย์และอินทรียวัตถุให้กับดินด้วยการไม่เผาตอฟาง ปลดปล่อยธาตุอาหารที่หลงเหลืออยู่ในตอฟาง ออกมาให้พืชได้ใช้ และปรับปรุงดิน

การเตรียมดินที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เขาไม่เผาฟาง แต่ใช้วิธีการไถกลบตอซัง และหมักด้วยน้ำจุลินทรีย์จาวปลวก รองพื้นปุ๋ยอินทรีย์ พ่นเชื้อราไตรโครเดอร์มา แช่เมล็ดข้าวด้วยเชื้อไตรโคเดอร์ม่า 1 คืน และหุ้ม 1 คืน หยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยเครื่องหยอด โมเดล “นางาม 1” ช่วยประหยัดเมล็ดพันธุ์ข้าว เพราะใช้แค่ 8 กิโลกรัม ต่อไร่ ประหยัดเวลาในการเพาะปลูก

ชาวนาขาร็อค ทำงานหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยเครื่องหยอด โมเดล “นางาม 1”

แปลงนา 1 ไร่ ใช้เวลาปลูกข้าวเพียง 45 นาที ข้าวอายุ 14 วัน จะขึ้นเป็นแนวคล้ายการปักดำ เรียกว่า ผลงานชิ้นนี้ช่วยลดขั้นตอนการหว่านกล้า ถอนกล้า ขนย้ายกล้าและปักดำ ดูแลจัดการง่ายกว่าการปลูกข้าวทั่วไป

หากคุณเป็นชาวนา จะเลือกปลูกข้าวด้วยวิธีไหนถึงคุ้มค่ากับการลงทุน หากเปรียบเทียบ จากการทำนาใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. เครื่องหยอด แปลง 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ 8 ก.ก. ใช้เวลาหว่านแค่ 45 นาที ต้นข้าวจะขึ้นเป็นระเบียบ แสงส่องถึง ต้นข้าวแข็งแรง 2. นาดำ ใช้เมล็ดพันธุ์ 5 ก.ก. ทำงาน 1 วัน ใช้แรงงาน 3 คน ต้นทุนผลิตที่ไร่ละ 1,000 บาท 3. นาหว่าน ใช้เมล็ดพันธุ์ 6 ก.ก. ใช้เวลาปลูก 10 นาที แต่ข้าวหนามาก

ในมุมมองของคุณต้น เขามองว่า การทำนาหว่านเจ๋งสุด ในตอนนี้ อันดับ 2 คือ นาหยอด ตามด้วยปลูกข้าวด้วยวิธีนาดำ
ปัจจุบัน แปลงนาของคุณต้นมีจุดเด่นในเรื่องต้นทุนต่ำ เพราะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวน้อย ใช้ปุ๋ยน้อย แต่ได้ผลผลิตที่ดี

เพราะเขามีตัวช่วยคือ ใช้จุลินทรีย์จาวปลวก ฮอร์โมนนม ช่วยบำรุงต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวแตกกอได้ดี ใช้ฮอร์โมนไข่ เพื่อให้เมล็ดข้าวเต็มรวง รวมทั้งใช้ เชื้อราไตรโคเดอร์มา ป้องกันโรคไหม้คอรวง และเชื้อรา รวมทั้งใช้น้ำหมักหอยเชอรี่ และน้ำหมักสมุนไพรรวม เพื่อบำรุงต้นข้าวและป้องกันแมลงศัตรูพืช

ทุกวันนี้ คุณต้น เปิดบ้านเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำนาแบบลดต้นทุน ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้สนใจ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกลุ่มกับเพื่อนเกษตรกรในท้องถิ่นจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรอินทรีย์” มีการรวมตัวทำกิจกรรมการเกษตรอย่างครบวงจร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกันพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์  เขาเชื่อว่า ถ้ามีคนหนุ่มรุ่นใหม่คิดได้และทำแบบนี้เยอะๆ จะทำให้ชุมชนชาวนาเข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน

หากใครสนใจ อยากอุดหนุนข้าวหอมมะลิและข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์หรืออยากแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการทำนาต้นทุนต่ำ สไตล์ “ชาวนาขาร็อค” สามารถติดต่อ คุณต้น – นิติพงษ์ เจาะจง ได้ที่บ้านเลขที่ 129 หมู่ที่ 1 บ้านโนนโพธิ์ ตำบลนางาม อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 45120 โทร 084-663*3327 หรือติดต่อทางเฟซบุ๊ก “ธัญทิพย์ฟาร์ม เกษตรวิถีอินทรีย์” หรือ Line : tanyatip101