ส่งออกข้าวปีนี้เหนื่อยบาทแข็ง-หอมมะลิไทยราคาแพงคนซื้อหนี

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวปีนี้ยังไม่สดใส ทำให้การแข่งขันของผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะขีดความสามารถด้านการแข่งขันที่ไทยจะสู้กับคู่แข่งไม่ได้โดยการส่งออกปี 2561 ไทยส่งออกเป็นอันดับ 2 รองจากอินเดีย โดยมีปริมาณ 11.09 ล้านตัน มูลค่า 180,270 ล้านบาท หรือ 5,619 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อินเดียส่งออกอยู่ที่ 11.97 ล้านตัน

ส่วนในปีนี้สมาคมคาดการณ์การส่งออกไว้ที่ 9.5 ล้านตัน ลดลง เพราะหลายตลาดสำคัญของไทยมีปริมาณการนำเข้าลดลง ไม่ว่าจะเป็นเบนิน เคนยา ญี่ปุ่น โดยข้าวหอมมะลิถือว่าลดลงทุกประเทศ เพราะปีที่ผ่านมาราคาข้าวหอมไทยสูงมากถ้าเทียบกับ ปี 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ 700 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน เทียบกับปี 2561 ราคาข้าวหอมมะลิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกข้าวหอมมะลิลดลง ไม่ว่าจะเป็นตลาดสหรัฐ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ แคนาดา ที่มีการหันไปนำเข้าข้าวหอมมะลิจากประเทศอื่นแทน ส่วนข้าวเหนียวและปลายข้าว มีปริมาณลดลงเช่นกัน แต่เป็นการลดลงอย่างมีนัยยะโดยที่ลดลงคือ ปลายข้าวเหนียว แต่ข้าวเหนียวส่วนใหญ่จะเน้นการบริโภคภายในประเทศ

สำหรับการคาดการณ์ผลผลิตทั่วโลก ปี 2562 น่าจะมีผลผลิตอยู่ที่ 491.1 ล้านตัน ลดลงจาก ปี 2561 ที่มีปริมาณ 495 ล้านตัน ส่วนไทยน่าจะมีผลผลิตอยู่ที่ 20.7 ล้านตันข้าวสาร

ด้าน นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวภาพรวมการส่งออกข้าวในปีนี้ว่าค่อนข้างเหนื่อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งลดลงค่อนข้างเยอะ ดังนั้น ปีนี้น่าจะส่งออกได้ 9.5 ล้านตัน แม้ว่าผลผลิตจะไม่ลดแต่การส่งออกน่าจะลดลง โดยสมาคมมีการปรับตัวเลขการส่งออกข้าวเกือบทุกชนิด โดยข้าวขาว 5% ปี 2561 ส่งออกปริมาณ 5.9 ล้านตัน ปีนี้ปรับลดลงเหลือ 4.8 ล้านตัน ข้าวนึ่ง จากเดิม 2.7 ล้านตัน เหลือ 2.4 ล้านตัน ข้าวหอมมะลิ จาก 1.6 ล้านตัน เหลือ 1.3 ล้านตัน เป็นต้น สาเหตุหลักๆ เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าข้าวมีการสต๊อกข้าวไว้ในปีที่ผ่านมาจำนวนมากแล้วโดยเฉพาะประเทศในแถบอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือฟิลิปปินส์ ที่มีการซื้อข้าวจากไทยไปเป็นจำนวนมากเพื่อสต๊อกไว้ ดังนั้นในปีนี้ประเทศเหล่านี้จะลดปริมาณการนำเข้าลง

สำหรับปัจจัยลบในปีนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังคงเป็นปัจจัยลบอยู่ เพราะค่าบาทของไทยแข็งกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวไทยแพงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง นับตั้งแต่ต้นปี 2562 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ประมาณ 2.28% ขณะที่ค่าเงินด่องของเวียดนามแข็งค่าขึ้นเพียง 0.05% ค่าเงินรูปีของอินเดีย อ่อนค่าลง 1.88% ดังนั้น หากค่าเงินบาทของไทยยังแข็งค่า อยู่ในระดับ 31.5 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ยกตัวอย่าง เช่น ราคาข้าวหอมมะลิเดิม ราคาอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ราคาขายจะขยับมาอยู่ที่ 1,800 ดอลาร์สหรัฐ ต่อตัน เพิ่มขึ้น 57% หรือราคาข้าวขาว 5% เดิมราคาอยู่ที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ราคาจะขยับมาอยู่ที่ 600 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน เพิ่มขึ้น 19% ซึ่งทำให้ขีดความสามารถด้านการแข่งขันลดลง

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบด้านอื่น เช่น อินเดียมีมาตรการกระตุ้นการส่งออกโดยที่รัฐบาลอุดหนุนเป็นแรงจูงใจให้กับผู้ส่งออก ในอัตรา 5% ของมูลค่าส่งออกซึ่งทำให้ผู้ส่งออกสามารถกำหนดราคาขายต่ำกว่าประเทศอื่น ในขณะที่ราคาข้าวขาวเวียดนามมีแนวโน้มลดต่ำลงหลังจากที่มีอุปสรรคในการส่งออกไปจีน นอกจากนี้ จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยมีสต๊อกข้าวปริมาณมากและมีการระบายข้าวเก่าในสต๊อกที่เก็บสำรองไว้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปทานข้าวในตลาดมีมากขึ้น และข้าวบางส่วนถูกส่งออกไปยังตลากแอฟริกา ซึ่งทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในแอฟริกาไป

รวมไปถึงประเทศผู้นำเข้าข้าวมีการปรับนโยบายในการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ทำให้มีแนวโน้มที่จะลดการนำเข้า เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการนำเข้าในปริมาณที่มาก หรือฟิลิปปินส์มีการปรับนโยบายนำเข้าข้าวโดยเอกชนมีบทบาทในการนำเข้ามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การแข่งขันในตลาดมากขึ้น

ส่วนปัจจัยบวก เช่น อินเดีย อยู่ในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าทุกปีเพื่อเก็บสต๊อกไว้ ทำให้มีข้าวออกสู่ตลาดน้อยลง ส่งผลให้ผู้ส่งออกประสบปัญหาในการจัดหาสินค้าซึ่งทำให้การส่งออกข้าวนึ่งมีแนวโน้มลดลง