ผู้เขียน | ทิดโส โม้ระเบิด |
---|---|
เผยแพร่ |
ผมรับทราบเรื่องราวของสองผัวเมียมานานพอควรแล้ว ได้แต่หาโอกาสว่าสักวันจะขอนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องเล่าเล็กๆ ของคนบ้าทำนาอินทรีย์แห่งพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
เนตร กับ ต้น-คนรักนา
เนตร-ปุณยวีร์ ถาวรกูล สาวน้อยชาวนาดีกรีปริญญาตรี สาขาการตลาด ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นชาวนา นักการตลาด แม่บ้าน และผู้จัดการ
ต้น-ญาณพสิษฐ์ ปัทมะเสวี ปริญญาตรีเทคโนโลยีเครื่องกล หนุ่มน้อยเรือนกายกำยำผู้พกพาความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่จะผลิตอาหารปลอดภัยจำหน่ายให้คนที่รักสุขภาพ สองคนกอดคอกันพลิกฟื้นผืนดินจากเดิมที่บรรพบุรุษเคยทำมา เรื่องราวของผืนนาเคมีจะต้องกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า การเริ่มต้นแปลงนาอินทรีย์ด้วยความเชื่อว่าจะใช้ความรู้ที่มีสร้างขึ้นมาให้ได้ “เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง” แรกๆ ก็ติดขัดอยู่บ้าง ทั้งความพร้อมของผืนดินและความพร้อมของผู้ลงมือทำ ผลผลิตที่ได้ไม่ดีนัก แต่ทั้งสองก็ยังมุ่งมั่นในปณิธานเดิม ใช้ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ และธรรมชาติมาร่วมในกระบวนการผลิต กาลเวลาย่อมหมุนไป ผ่านคืนวันแห่งฝันร้ายบ้าง ฝันดีบ้าง แต่ชีวิตก็มีความสุข เห็นได้จากผลผลิตในแปลงนาที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นและสมาชิกในครอบครัวก็เพิ่มมาอีกสอง จากหนุ่มน้อยสาวน้อยในกาลอดีต ทั้งสองก็กลายเป็นพ่อแม่ลูกสองในปัจจุบัน
เรื่องราวที่เล่าขานเป็นตำนานน้อยๆ ของครอบครัวคนบ้าก็เริ่มขึ้น
“ไปไงมาไงเนี่ย เนตรคิดยังไงถึงมาทำนา”
“พี่ต้นชวน”
“โห! ใจง่ายแท้ แค่ตาต้นชวนก็มาเลยเหรอ”
“เราเป็นลูกหลานชาวนาค่ะพี่ หากเราไม่สืบทอดก็ไม่รู้จะปล่อยไว้ยังไง พ่อแม่ก็แก่เฒ่าไปทุกวัน เรี่ยวแรงก็หดหายไปเยอะ พี่ต้นแกก็คิดแบบเดียวกัน อยากทำนา อยากผลิตอาหารที่ปลอดภัยไว้กินเองและแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้กินอาหารที่ปลอดภัย”
“ต้นล่ะ คิดว่าจะทำได้เหรอ”
“ผมเชื่อและศรัทธาในศาสตร์พระราชาครับพี่ ทำเพื่ออยู่เพื่อกินให้ได้ ทุกอย่างต้องพึ่งพากัน มีสิ่งหนึ่งเพื่อให้มีอีกสิ่งหนึ่ง ทุกอย่างต้องระเบิดจากภายในเราเอง จากนั้นค่อยขยายออกไป”
“ถามจริงๆ นะ หันมาทำนาอินทรีย์แบบนี้ มีใครสนับสนุนไหม แล้วคิดยังไงถึงมาทำแบบนี้”
“โอยพี่ ศึกใหญ่สุดคือสู้กับความเชื่อของคนรอบข้างครับ ผมกับเมียเชื่อและพร้อมจะเดินหน้า แต่เสียงจากคนอื่นๆ ก็ดังเหลือเกิน บางวันก็ท้อ เพราะเราทำไม่เหมือนใคร คิดไม่เหมือนคนอื่นเขา หลายๆ คนบอกว่าเราบ้า ผมก็เลยบอกไปว่า ผมเป็นคนบ้าทำนาอินทรีย์ครับ ใครทำเคมีก็ทำไป แต่ผมกับเมียตั้งเป้ามาแบบนี้แล้ว ขอเป็นคนบ้าแบบนี้แหละ”
“นานไหม กว่าจะมีคนเชื่อว่าเราทำได้ และคล้อยตามเรา”
“หลายปีครับ เขาไม่เชื่อหรอกว่าน้ำหมักหรือปุ๋ยที่หมักจากใบไม้จะสู้ปุ๋ยกระสอบของเดิมๆ ได้ เขาไม่เชื่อว่าไตรโคเดอร์ม่าที่ผมใช้จะสู้ยาฉีดพ่นของเดิมเขาได้ ขนาดหญ้าที่ตัดผมเอามากองไว้ทำปุ๋ยหมักพวกยังเผาเฉยเลย”
“แล้วทำยังไงถึงมีคนเชื่อว่าแนวทางนี้ทำได้”
“เราทำแบบลดต้นทุนทุกปีค่ะพี่ เนตรจดรายจ่ายไว้ตลอด เปรียบเทียบให้เห็นทุกปี ผลผลิตเราเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเรากลับลดลง ดินก็ดีปลูกอะไรก็งาม สุขภาพเราก็ดี พี่ต้องไปลองเดินดูในแปลง นาเรามีปู ปลา กุ้ง หอย สารพัด หากต้องการอาหารก็แค่ไปจับมากิน ที่เหลือก็ปล่อยไว้ในแปลงนา ปลาช่อนหนึ่งตัวหรือกบหนึ่งตัว ช่วยกำจัดแมลงศัตรูข้าวได้มากมาย เรียกว่าเป็นทั้งอาหารและผู้คุ้มครองในแปลงนาได้เลย”
“แล้วปูนามากัดกินต้นข้าวเราทำยังไง”
“ปล่อยค่ะ ที่อื่นอาจใช้ยาฆ่าปูแต่เราเดินจับแล้วหักก้าม ปูจะใช้ก้ามเล็กตัดกินต้นข้าว เมื่อเราหักก้ามแล้วปูก็เหมือนถูกปลดอาวุธ ปล่อยไว้จนหมดหน้านา น้ำงวด ปูก็เข้ารู เวลาอยากกินก็ไปขุดเอา ในนาเรามีเยอะแยะค่ะ กุ้งฝอยก็มาเอง ก่อนนั้นนึกอยากเลี้ยงแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พอทำนาอินทรีย์ วันดีคืนดีก็มีกุ้งฝอยมาอยู่ในนา หอยขมก็ปล่อยแค่ครั้งเดียว อยากกินก็แค่ยกทางมะพร้าวขึ้น แค่ทางสองทางก็พอแกงได้เป็นหม้อแล้ว ขอให้ในนามีน้ำ รับรองไม่อดไม่อยากแน่นอน”
“แล้วเอาอะไรเลี้ยงสัตว์น้ำเหล่านี้”
“ไม่เลยพี่ ไม่เคยเลี้ยงอาหารอะไร หว่านปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ลงไปบ้าง แหนแดงในนาก็เกิดขึ้นเอง สัตว์เหล่านี้ก็กินแหนแดงเป็นอาหาร เรียกว่าเราแค่ดูแลสภาพแวดล้อมในนาให้ปลอดภัย งดใช้เคมีทุกชนิด ไม่นานความสมบูรณ์จะกลับมาหาเราเอง”
“ถึงวันนี้ คิดว่าเดินมาถูกทางหรือยัง”
“ผมเชื่อตั้งแต่ก่อนก้าวแรกแล้วพี่ ในหลวงท่านทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้ เราจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร ผมเชื่อว่าพระองค์ทรงคิดและทดลองมาจนเชื่อมั่นแล้ว เราแค่เดินตามรอยพระบาทของพระองค์เท่านั้น วันนี้ผมกล้าพูดว่าผมเดินตามรอยบาทศาสตร์พระราชาจนประสบผลสำเร็จ”
“ถามต้นอีกนิด เมื่อมาทำนาปลูกผักแบบนี้ รายได้ เอ่อ…พอไหม ลูกก็เรียน ค่าใช้จ่ายอีกมากมายรออยู่”
“แนวทางที่ผมทำตอนนี้คือเกษตรชีวภาพเชิงพาณิชย์ครับ จริงอยู่ที่เงินซื้ออะไรไม่ได้ทุกอย่าง แต่พี่ลองไม่มีเงินสิ ดังนั้น ผมจึงทำเกษตรจากความเป็นจริง อยู่และต่อสู้กับสังคมอันโหดร้ายให้ผ่านไปได้ หิวต้องมีกิน เหนื่อยต้องได้พักเหมือนคนอื่นๆ”
“มีหลักการปฏิบัติที่เป็นแนวทางของเราไหม”
“ง่ายๆ 4 ข้อครับพี่ หนึ่งไม่เบียดเบียนตนเอง สองไม่เบียดเบียนผู้อื่น สามเอื้อประโยชน์ตนเอง สี่เอื้อประโยชน์ผู้อื่น เท่านี้ครับ”
“เข้าท่าแฮะ นอกจากผลิตแล้ว ตอนนี้เราบริหารจัดการอย่างไรบ้าง”
“เนตรขายตรงค่ะ ผลิตข้าวที่ปลอดภัยให้เพื่อนๆ กิน เราปลูก ดูแล และแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง ส่งจำหน่ายให้สมาชิกคนรักสุขภาพทุกท่าน ในราคาที่เป็นธรรมสำหรับเราและผู้บริโภค”
“เห็นว่ามีแบรนด์ของตัวเองด้วย”
“ค่ะพี่ เนตรใช้คำง่ายๆ ข้าวหอมจริงใจ เราจริงใจผลิตและจริงใจส่งมอบ เราตั้งใจทำนาเพื่อให้เพื่อนเราได้กินข้าวดีๆ สุขภาพก็จะดี ที่สำคัญเรายังปลูกผักไว้กินเองอีกด้วย”
“ปลูกผักอะไรมั่ง” “สารพัดเลยพี่ เน้นผักสลัด สีแดง สีเขียว สีม่วง บวบ ฟักทอง แตงกวา ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ผักกาด ผักของเราสด กรอบ อร่อย และปลอดภัยมากๆ เราปลูกเอง กินเอง ดังนั้น ทุกกระบวนการผลิตเราจึงดูแลอย่างดี”
“ขายด้วยไหม”
“แค่กินค่ะ เราปลูกผักไว้กินและส่วนหนึ่งเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกในครั้งต่อไป รวมถึงแจกเมล็ดให้สมาชิกไปปลูกกันต่อ”
“แจกเมล็ดด้วย มีกติกาการแจกไหมครับ”
“ง่ายๆ พี่ ใครอยากปลูกก็ขอมา เราพร้อมแจกเมล็ดพันธุ์ชนิดใดก็จะแจ้งให้ทราบ”
“งั้นคนอ่านท่านใดสนใจก็ขอเมล็ดไปปลูกได้ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ยินดีเลย”
“แล้วจะไปขอได้ที่ไหนครับ”
“เข้าไปดูในเฟซเนตรค่ะ ในชื่อ Punyawi Thavarakoon ของพี่ต้นก็ ต้นโบ้ ปัทมะเสวี คนบ้าทำนาอินทรีย์ ค่ะ”
“โห! ดีมากเลย ก่อนจากกัน ถามตรงๆ หากมีท่านผู้อ่านสนใจอยากมาเรียนรู้การทำนาอินทรีย์แบบนี้ พอจะแนะนำได้ไหมครับ”
“ยินดีเลยค่ะพี่ ติดต่อเข้ามาได้เลย เรายินดีแนะนำทุกกระบวนการในการทำเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง ทำนาปลูกผักแบบคนรักในผืนดิน ใช้อินทรีย์เป็นหลักในการผลิต”
“ขอเบอร์โทร. หรือไลน์ได้ไหม”
“ได้ค่ะ โทร.หาเนตร ได้ที่เลขหมาย (096) 363-9694 หรือพี่ต้น (092) 429-1995 ยินดีเลยค่ะพี่”
ฝนตั้งเค้ามาแล้ว ผมแยกจากสองผัวเมียและผืนนาอินทรีย์ เดินทางกลับบ้านด้วยความอิ่มใจ ฝันเล็กๆ ของคนสองคนกำลังถูกปลูกลงไปในหัวใจดวงน้อยๆ อีกสองดวง ชีวิตของครอบครัวเล็กๆ ที่กล้าฝันและกล้าเดินตามความฝันของตัวเอง ในวันนี้เขามีอาหารปลอดภัยไม่เพียงไว้บริโภคเองเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันและจำหน่ายให้ผู้บริโภคอื่นๆ ด้วย
“โชคดีนะ ครอบครัวคนบ้าทำนาอินทรีย์”