ไปหาดใหญ่มา 2 คืนครับ

เมื่อผมย้ายจากการเป็นข้าราชการภูธร มาอยู่ที่ส่วนกลาง เมื่อปี 2520 ได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบทางด้านพืชไร่ ซึ่งทางภาคใต้มีปลูกกันน้อย จึงไม่ค่อยมีโอกาสไปเยือนเลย ยกเว้นอยู่ครั้งเดียว ตอนที่ยังอยู่ฉะเชิงเทรา แต่ได้มาช่วยทำงานพืชไร่ในระยะหนึ่ง เมื่อก่อนปี 2520 อีก มีนักวิชาการ รุ่นพี่ชวนไปสำรวจสถานการณ์สับปะรดที่ประจวบคีรีขันธ์ แล้วขึ้นรถไฟต่อไปสุราษฎร์ธานี ทำงานที่นั่น 2-3 วัน นับเป็นการไปภาคใต้ครั้งแรกในชีวิต

ในระยะต่อมา หลังจากที่ประจำอยู่ส่วนกลางเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว คณะนักวิชาการภายใต้การนำของผู้อำนวยการกอง ได้ยกคณะไปหาดใหญ่ เพื่อร่วมกับนักวิชาการในระดับภาคและจังหวัดวิเคราะห์สถานการณ์พืชทั้งหมดในภาคใต้ เพื่อวางแผนการส่งเสริมได้ตรงประเด็น ผมก็เลยได้มาหาดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยพักที่โรงแรมยงดี ซึ่งอัตราค่าที่พักที่นั่น พอที่ข้าราชการระดับเราจะจ่ายได้ ในตอนนั้นเราไม่ได้เที่ยวที่ไหน เพราะใช้เวลาในการประชุมส่วนใหญ่ แต่ก็เดินซื้อของที่ตลาดสันติสุขและตลาดกิมหยง ซึ่งของที่นั่นคนขายจะบอกราคาสูงๆ ให้ต่อราคา เราก็พยายามต่อให้ต่ำๆ ไว้ แล้วก็มาคุยแลกเปลี่ยนกันว่า ใครซื้อได้ราคาถูกกว่ากัน เท่าใด

ในเวลาต่อมา ได้มีกิจกรรมต่างๆ เช่น การประชุมนักวิชาการ หรือการประชุมทางวิชาการพืช จึงได้เดินทางมาหาดใหญ่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะมีหน่วยงานส่งเสริมการเกษตร ระดับภาคอยู่ที่นี่ จากนั้น ได้พบว่า โรงแรมสุคนธา ซึ่งเป็นโรงแรมชั้น 1 ได้ถูกสร้างขึ้นใกล้ๆ โรงแรมยงดี แต่ราคาแพงกว่าที่ข้าราชการจะเบิกได้ นอกจากนั้น ยังมีโรงแรมลีการ์เด้นส์ โรงแรมโฆษิต และโรงแรมชั้น 1 อีกหลายโรงแรม ซึ่งถ้าออกต่างจังหวัดก็อยากพักที่สะอาดๆ สบายๆ ก็ได้พยายามเจียดจ่ายเงินให้ได้เข้าพักในโรงแรมดีๆ เหล่านั้น ผมจึงคุ้นเคยกับเมืองหาดใหญ่ในภายหลัง ซึ่งนอกจากจะมาราชการในงานที่รับผิดชอบแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากที่ได้ร่วม เช่น เป็นผู้แทนหน่วยงานในการสำรวจสภาพพื้นที่เพื่อการสร้างทาง feeder road ของกรมทางหลวงในสมัยแรกๆ การสอนเสริม ของ มสธ. การตระเวน ศึกษาสภาพพื้นที่ของหลักสูตร วปรอ. เป็นต้น แต่เมื่อเกษียณอายุราชการ ซึ่งผ่านมาร่วม 13 ปีแล้ว ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาหาดใหญ่อีกมากนัก

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นงานแต่งงานของหลานสาวที่อยู่หาดใหญ่ ซึ่งหลานได้โทร.ไปกำชับล่วงหน้าตั้ง 2 เดือนกว่าๆ ว่าลุงบู๊ มาให้ได้นะ จึงได้วางแผนการเดินทาง ซึ่งคิดเบื้องต้น ว่าจะขับรถมา จะได้ขนของสัมภาระทั้งมาและกลับได้เต็มที่ แต่ลองมาทบทวนอีกครั้งว่าคุ้มไหมกับการขับรถไกลๆ ไปในที่ไม่คุ้นเคย ใช้เวลาเดินทางไปกลับร่วม 4 วัน เนื่องจากอายุมากแล้ว เพื่อจะมาอยู่แค่ 2 คืน จึงเปลี่ยนใจ รีบจองตั๋วเครื่องบิน ซึ่งจองและจ่ายเงินล่วงหน้านานๆ เสียเงินไม่แพงนัก ไปกลับ เพียงคนละเกือบๆ 2,000 บาท หรือคณะของผมมี 2 คน ก็เท่ากับ 4,000 บาท ซึ่งพอจะเที่ยวหาดใหญ่ได้ สำหรับงานแต่งงานนั้นลุล่วงไปด้วยดี ผมดีใจกับหลานด้วย ที่ตั้งต้นชีวิตคู่อย่างหวานชื่น และเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวก็ดูเหมาะสม เหมือนเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน

หลานได้จัดให้พักที่โรงแรมลีการ์เด้นส์ เหมือนกับญาติคนอื่นๆ และงานแต่งงานของหลานก็จัดที่นี่ จึงเป็นศูนย์กลางของผม ที่จะไปไหนมาไหน ก็ต้องวนเวียนอยู่แถวนี้ ขอเล่าถึงเมื่อตอนเดินทางมาถึงโรงแรม ในนาทีแรกๆ ซึ่งเป็นวันพฤหัสบดี ยังไม่สุดสัปดาห์ ก็ดูคึกคักมาก มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเที่ยวกันหลายคน ซึ่งท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของผม ทำให้นักท่องเที่ยวมาเลย์ต้องแนะนำว่าจะขึ้นห้องหรือจะออกไปข้างนอกต้องขึ้นลงลิฟต์อย่างไร ทำให้นึกว่ากำลังอยู่ในมาเลเซียหรือเมืองไทยกันแน่ ยิ่งกว่านั้น พอถึงวันศุกร์และวันเสาร์ ที่ห้องล็อบบี้ของโรงแรมก็มีนักท่องเที่ยวยืนกันแน่นมากๆ เหมือนงานเลี้ยงที่คนเยอะๆ คงจะรอลงทะเบียนเข้าห้องพักกัน สังเกตดู คิดว่าหลายๆ คนที่มาเที่ยวนี้ ไม่ได้มาครั้งแรก แต่อาจจะมาบ่อยๆ เพราะดุคุ้นเคยกับสถานที่มากๆ

ตอนหัวค่ำที่ลงไปเดินรอบๆ โรงแรม เห็นมีรถเข็น มาตั้งขายอาหารของกินริมถนนด้านหน้าของโรงแรม และถนนทางด้านข้างอีกด้านหนึ่ง ทุกร้านขาย อาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ ของกินเล่น ดูขายดีสำหรับนักท่องเที่ยวซึ่งเดินกันคึกคัก สำหรับร้านที่ขายอาหารตามสั่งจะเต็มทุกโต๊ะ ดูๆ แล้วเหมือนกับนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม มากันเป็นครอบครัวคุ้นเคยกับที่นี่มาก พอดึกพอสมควร ร้านอาหาร เครื่องดื่มริมถนนเหล่านี้ ก็จะเก็บของกลับ แล้วพอตี 4 ผมลงมาเดินข้างล่าง ก็เห็นคนมาตั้งร้านแผงลอยใหม่ ซึ่งในตอนเช้า ร้านจะเป็นสถานที่เดียวกับขายอาหารตอนกลางคืน แต่จะขายเสื้อผ้า โดยเฉพาะของวัยรุ่น เช่น ยีนส์ ขาสั้น ชุดเด็กเล็กๆ ของเล่นเด็ก เป็นต้น พอเดินออกไป ตามริมถนนสายอื่นรอบๆ ตามละแวกนั้น ก็จะมีร้านขายของเป็นแผงลอย ซึ่งมีเสื้อผ้า ผลไม้ ฯลฯ กระจายอยู่ทั่วๆ ไป และมีห้างใหญ่ เช่น โอเดี้ยน ก็ขายของพื้นที่เป็นตารางล็อกๆ เต็มห้าง เห็นนักท่องเที่ยวมาเลย์เดินไปทั่วๆ แถวนั้น ไม่ทราบว่าจะซื้อของมากน้อยประการใด

ที่โรงแรมสุคนธาที่มีในสมัยก่อนนั้น ตอนนี้ปรับเปลี่ยนเป็นห้างเซ็นทรัล อยู่ข้างๆ ลีการ์เด้นส์นั่นเอง ทำให้รอบๆ ห้างคึกคัก กลางคืนประดับไฟที่ถนนสว่างไสว แต่ภายในห้างไม่มีคนเดินมากนัก ที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่ามีห้างใหม่คือ เซ็นทรัลเฟสติวัล และโรบินสัน ซึ่งก็คงเป็นธุรกิจเดียวกันนั่นเอง สำหรับโรงแรมยงดี ตอนนี้รื้อออกหมด เห็นแต่โครงสร้างเหลืออยู่ พร้อมชื่อโรงแรม สอบถามดูเห็นว่าจะปรับปรุงเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง ในอนาคตใกล้ๆ นี้

ไปเดินดูตลาดสันติสุข และตลาดกิมหยง ก็ดูคล้ายๆ ของเดิมที่เห็นมานานแล้ว มีสินค้าหลายชนิดที่เมื่อสมัยก่อนโด่งดังมากๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของกินเล่น เสื้อผ้า โสร่งปาเต๊ะ ซึ่งในสมัยก่อนเราเห็นอะไรก็ซื้อหมด แม้กระทั่งถ่านไฟฉาย แต่ครั้งนี้คนมาใช้บริการบางตาไป เข้าใจว่าชาวมาเลย์ไม่ได้สนใจสินค้าเหล่านั้น และคนไทยที่มาเที่ยวก็คงไม่สนใจมาก เพราะตอนนี้สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไม่ว่าอยู่จังหวัดไหน และยังไม่ต้องต่อราคาให้ไม่สบายใจอีกด้วย ผมได้ซื้อไฟฉายมา 1 กระบอก คนขายบอกราคา 350 บาท ผมลองต่อ 200 บาท แต่คนขายบอกว่าไม่ได้บอกผ่านแบบนั้น ผมเลยขึ้นให้อีกเป็น 250 บาท และทำท่าว่าจะไม่เอา ถ้าไม่ลดให้ เพราะต่อรองเล่นๆ ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาก่อน แต่คนขายก็ตกลงทันที เราก็ไม่สบายใจอีก ว่าทำไมลดราคาง่ายนัก แพงไปหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ สำหรับผลไม้ ของกินเล่น ไม่กล้าถามราคาเลย เกรงราคาจะสูง

คุณพ่อ คุณแม่ของเจ้าสาว หรือน้องของผม ได้พาไปกินอาหารเย็นในวันแรกที่มาถึง และเพื่อนที่เคยทำงานและกินเที่ยวด้วยกันมาหลายปีที่จังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ตอนนี้อยู่พัทลุง เพราะเป็นคนที่นี่ ได้พาไปกินอาหารเที่ยงในวันสุดท้ายก่อนกลับ มื้ออื่นๆ นอกนั้นกินที่โรงแรม อาหารทางภาคใต้นี้ก็เหมือนกับอาหารท้องถิ่นในภาคอื่นๆ คือ อร่อยมาก ถ้ามีคนท้องถิ่นเลือกร้านและพาไปกิน แล้วยังมีคาราโอเกะให้ร่วมสนุกอีกด้วย เสียดายอยู่อย่างเดียวว่า ตอนนี้ผมอายุมาก ไม่ไหวแล้ว ถ้าถอยหลังไปสักหน่อย คงไม่ได้นอนกันแน่ เพื่อนได้ฝาก ยำน้ำบูดูกุ้งสดกลับกรุงเทพฯ อีก 1 ถุง ซึ่งที่บ้านก็ได้กินกันจนหยดสุดท้ายเลย

กลับมาที่โรงแรมลีการ์เด้นส์ มีห้องอาหารเช้ากว้างใหญ่มาก คงจะหลายสิบตารางเมตร อาหารมื้อเช้านั้น ห้องอาหารเต็มไปด้วยแขกที่มาพัก ดูแล้วดีใจกับทางโรงแรมด้วยที่มีลูกค้ามากมาย กินแล้วก็ไป คนใหม่ก็มาอีก อาหารที่วางไว้บริการหมดเร็ว โดยเฉพาะไข่ดาว พนักงานต้องรีบเอามาเสริมให้ตลอดเวลา มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือคนมากก็จริง แต่เขาตักอาหารและน้ำค่อนข้างเป็นระบบไม่แย่งกันมาก ชาวมาเลเซียคงจะคุ้นเคยกับการปฏิบัติในเรื่องแบบนี้พอสมควร

กลับจากหาดใหญ่มาด้วยความประทับใจ สักวันหนึ่งถ้ายังขับรถไหว ผมใฝ่ฝันอยากจะขับรถกินลม ให้ทั่วภาคใต้ ค่ำไหนนอนนั่น ดูทั้งวิว สถานท่องเที่ยว และซื้อของ อยากไปซื้อทุเรียนกวนที่หลังสวน ซื้อถ้วยชามที่เกาะลังกาวี และของอื่นๆ อีกมาก ซึ่งจะเดินทางแบบไม่กำหนดเวลากลับ จะนอนที่ไหนกี่คืนก็แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าได้แบบนั้นคงจะเพลิดเพลินไม่น้อย แต่ก็คงยังเป็นความฝันอยู่ต่อไป