เกษตรเขาเขียว (ตอนที่ 3) ของกินที่เขาเขียว

ร้านค้าของชาวบ้านใกล้โรงเรียนมีไม่กี่ร้าน บ้างร้านเป็นเพิงไม้สร้างอย่างง่ายๆ บางร้านใหญ่หน่อยเป็นบ้านชั้นเดียว ส่วนมากเป็นบ้านไม้ ของที่ขายเป็นของใช้ของกินในครัวเรือนคุณภาพต่ำ ร้านขายก๋วยเตี๋ยวมีอยู่ 2 หรือ 3 ร้านที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน แต่พวกเราไม่ค่อยไปกินกันเพราะส่วนใหญ่กินข้าวที่โรงอาหาร จะมีบ้างในวันเสาร์อาทิตย์ที่เบื่ออาหารจากโรงอาหารหนีไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ติดถนนลูกรัง เวลากินต้องคอยระวังเสียงรถยนต์ที่ผ่านว่าจะเป็นรถของอาจารย์หรือเปล่า เนื่องจากเราไม่ได้ขออนุญาตออกมา เรื่องรสชาติคงไม่ต้องบรรยายว่าเป็นเช่นไร เป็นก๋วยเตี๋ยวหมูที่ต้มหมูชิ้นใหญ่แล้วหั่นใส่ ส่วนเส้นก๋วยเตี๋ยวนั้นถ้าวันไหนโชคดีเจ้าของร้านออกไปซื้อที่เขาขวางกลับมาก่อนเที่ยงก็จะได้กินเส้นที่นุ่ม แต่ส่วนใหญ่เจอเส้นค้างคืนก็จะได้กินเส้นแข็ง ใส่พริกปรุงให้เผ็ดก็กินได้  

ร้านค้ามีให้เลือกหลายร้าน ถ้าเดินไปยังหมู่บ้านเขาส้ม ห่างไปถึง 2 กิโลเมตร ขนมที่ขาดไม่ได้ก็คือข้าวเกรียบกุ้งถุงใหญ่สีแดงแป๊ดด้วยสีผสมอาหารมากกว่าสีแดงจากตัวกุ้ง ข้าวเกรียบที่มีความเหนียวมากกว่าความกรอบ เนื่องจากมันมีปริมาณมากและราคาถูก เราจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะตัดสินใจซื้อมัน

เหล้าที่ขายเป็นเหล้าขาว ส่วนเหล้าแดงไม่ค่อยมีมันแพงเกินที่ชาวบ้านจะซื้อเหล้าแดง มีขายที่เขาขวางที่ปากทางเข้าห่างออกไป 5 กิโลเมตร ที่นั่นมีร้านอาหารตามสั่งหลายร้าน ขายอาหารและเหล้าเบียร์เป็นจุดแวะพักของรถโดยสาร บางร้านมีเมนูแปลกเอามาขายเป็น “นกเขาถ้ำทอด” คอเหล้าชอบสั่งมาแกล้ม นกเขาถ้ำไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ที่น่านำมาเลี้ยงเหมือนกับนกเขาใหญ่ นกเขาชวา นกเขาถ้ำมีอยู่ตามธรรมชาติเป็นจำนวนมากอาศัยอยู่ตามถ้ำ ซึ่งที่จริงๆ มันก็ “ค้างคาว” ที่ทางร้านอาหารเปลี่ยนชื่อใหม่

นกเขาถ้ำมีจุดกำเนิดจากร้านอาหารที่เขาขวางและเขาช่องพราน เนื่องจากในถ้ำของเขาช่องพรานเป็นที่อยู่อาศัยของค้างคาวนับล้านๆ ตัว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจับมันมาขายให้ร้านอาหาร วิธีการล่าค้างคาวนั้นง่ายมาก คนหนึ่งเข้าไปไล่ค้างคาวบนเพดานถ้ำ เพื่อให้ค้างคาวที่เกาะบินออกมา ส่วนอีกคนใช้ลำไม้ไผ่เหมือนคันเบ็ดคอยตวัดตี ซึ่งเป็นวิธีการเข้าไปจับในถ้ำ ส่วนวิธีการจับนอกถ้ำจะเอาตาข่ายมาขึงดักที่ปากถ้ำ พอมันบินออกมาก็จะติดตาข่ายจำนวนมาก แต่เราก็ไม่เคยกินนกเขาถ้ำกัน

แปลงข้าวโพด

มีอยู่ครั้งหนึ่งในวันหยุดเราพากันเดินมาที่เขาช่องพรานอยู่ติดกับเขาขวาง เพื่อจะดูค้างคาว เดินทางมาตามทางลูกรังทางไม่ราบเรียบและไม่มีรถประจำทางแล่น ผ่านเขาชะงุ้มหนึ่งในสมรภูมิรบในสงครามเก้าทัพ ถึงเขาขวางก่อนที่จะถึงเขาช่องพราน ใช้เวลาในการเดินทางเท้าชั่วโมงเศษ ครั้งนั้นสามารถเดินเข้าไปดูในถ้ำได้ ยังไม่ได้ห้ามเข้าเหมือนกับปัจจุบันนี้ เขาช่องพรานเป็นภูเขาขนาดย่อม ยอดสูงสุดประมาณ 180 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง อยู่ทางทิศใต้ของภูเขา สามารถมองเห็นปากถ้ำได้อย่างชัดเจน

เดินขึ้นไปพักเดียวก็มาอยู่ที่ปากถ้ำ เป็นถ้ำที่เกิดจากหินปูน ภายในกว้าง คล้ายห้องโถงขนาดใหญ่ ปรากฏหินงอกหินย้อยไปทั่ว กว้างประมาณ 50 เมตร ลึกประมาณ 100 เมตร มีความสูงประมาณ 5-8 เมตร เพดานถ้ำถูกบุไปด้วยค้างคาวจำนวนมากจนแทบจะมองไม่เห็นช่องว่างที่มีลักษณะเป็นลืบเล็กๆ แสงสว่างส่องเข้ามาไม่ถึง ได้เห็นค้างคาวแล้วก็พากันออกมา ในการเดินทางกลับโรงเรียนต้องคอยระวังรถยนต์อีก หากได้ยินเสียงรถยนต์ให้กระโดดหลบซ่อนตัวข้างทางไว้ก่อน เพราะอาจเป็นรถของอาจารย์ก็ได้

พิชิตยอดเขาชะงุ้ม

คนที่หิวบ่อยพอตกค่ำท้องจะร้องเกิดอาการกระวนกระวายเป็นที่น่าสงสาร หลังจากเช็คชื่อสวดมนต์ที่โรงอาหารแล้วรู้สึกหิวมากจะต้องหาทางทำให้หายหิว ส่วนร้านค้าของโรงเรียน (ไม่ใช่ร้านค้าสวัสดิการ) ทางโรงเรียนเปิดไว้ห้องหนึ่งบนอาคารเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ซื้อขนมกิน มีลุงคนหุงข้าวเป็นผู้ถือกุญแจห้องนี้เป็นผู้ขาย ขายพวกขนมขบเคี้ยว กับน้ำขวด น้ำขวดหลักเป็นนมไวตามิ้ลค์ ร้านเปิดขายตอนกลางวันช่วงพักเที่ยงและหลังเลิกเรียน

ถ้าเป็นตอนกลางคืนหากลุงผู้นี้อยู่เวรก็ขอให้ลุงช่วยเปิดร้านเพื่อซื้อขนมและน้ำขวดคลายความหิวไปได้ คืนไหนลุงไม่ได้อยู่เวรทนหิวไม่ไหวก็ต้องหนีออกจากหอพักเดินไปฝั่งตรงข้ามกับสนามฟุตบอลเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวของผู้ใหญ่บ้านที่มีเพียงแห่งเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุด ตอนนั้นยังไม่มีบะหมี่สำเร็จรูปอย่างมาม่า หรือไวไว คนที่หิวจะร้องเรียกให้แกเปิดร้านเพื่อกินก๋วยเตี๋ยว เมียแกจะตอบออกมาว่า ไฟมอดหมดแล้ว เพื่อนเราที่หิวจัดก็บอกว่า น้ำอุ่นๆ ก็เอา จึงเป็นที่มาของ ก๋วยเตี๋ยวน้ำอุ่น ซึ่งพอประทังความหิวไปได้ในคืนนั้นได้

ช่วงฤดูฝนเป็นฤดูที่ต้นไม้เจริญงอกงาม ผลไม้บางอย่างออกผลดกในช่วงนี้ ในวันหยุดหลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว อาหารในวันหยุดจะเหลือเพราะเพื่อนบางคนขออนุญาตลากลับบ้าน เพื่อนเรากลุ่มหนึ่งเข้าโรงครัว เพื่อขอเกลือ น้ำตาลทราย และพริกจากแม่ครัว เมื่อได้แล้วจึงพากันออกเดินไปยังหมู่บ้านเขาส้ม ตลอดเส้นทางมีไม้ผลหลายชนิดกำลังให้ผลผลิต แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งซึ่งเราสามารถขอหรือเก็บผลข้างทางได้ก็คือฝรั่ง เด็ดมาจิ้มกับพริกเกลือกินกันอย่างอร่อย ถ้าผ่านบ้านคนงานที่ทำงานในโรงเรียน เราจะเข้าไปขอฝรั่งกับแก ซึ่งแกก็ไม่ได้ปฏิเสธกับฝรั่งลูกเล็กๆ ที่ไม่มีใครอยากกิน

พวกกลุ่มนิยมไพรชอบเดินป่าขึ้นเขาในวันหยุด การเดินขึ้นเขาเขียวเป็นเรื่องปกติขึ้นกันบ่อย หรือไปบ้านเขาส้มเดินกันจนทะลุปุโปร่งหลับตาเดินไปยังได้ การเดินบางกลุ่มจะเลือกเอาเวลาหลังจากกินข้าวมื้อเช้าแล้ว หรือหลังมื้อเที่ยงแล้ว เสบียงระหว่างทางถ้าเป็นหน้าฝรั่งก็จะเก็บฝรั่งกินกันและเก็บมะขามป้อมเคี้ยวอมไว้ช่วยให้ชุ่มคอลดการกระหายน้ำได้ มะขามป้อมเกือบทุกต้นบนเขาเขียว เรารู้จักตำแหน่งพิกัดของมันได้อย่างแม่นยำว่าต้นไหนอยู่ตรงจุดไหนบ้าง ต้นไหนผลดกหรือไม่ดก ผลใหญ่หรือไม่ใหญ่รู้จักดี ส่วนมะขามเปรี้ยวมีอยู่ต้นหลังโรงเรียนเป็นของลุงผู้หนึ่งมีมะขามต้นอยู่หน้าบ้านแก

สาธิตการใช้รถแทรกเตอร์

ลุงแกเป็นคนดุไม่ยอมย้ายบ้านออก แม้ว่าได้ทำการเวนคืนที่และให้ลูกชายทั้งสองคนได้เข้ามาเป็นคนเลี้ยงวัวและคนขับรถของโรงเรียนแล้วก็ตาม เวลาเดินขึ้นเขาเขียวต้องผ่านต้นมะขามของแก จึงไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับมะขาม นอกจากวันไหนแกอารมณ์ดีก็จะบอกให้เราเก็บฝักที่ร่วงได้ มะขามที่ไม่เปรี้ยวมากแต่ไม่ถึงกับหวาน เมื่อเราเดินขึ้นเขาเขียวไปบ้านเขาส้มกันบ่อยก็อยากเปลี่ยนที่ไปบ้าง บางครั้งเปลี่ยนไปขึ้นเขาชะงุ้มเดินเกือบชั่วโมงขึ้นเขาอีกอึดใจใหญ่เพราะไม่ค่อยชำนาญเส้นทางขึ้น แต่เราก็พากันไต่ขึ้นเขาชะงุ้มเพื่อพิชิตยอดเขาชะงุ้มที่ท้าทายเด่นตระหง่านเป็นผลสำเร็จ

ประสบการณ์การปลูกข้าวโพดที่เขาเขียวเราพอมีประสบการณ์กันพอสมควรเพราะเป็นรุ่นแรกที่ปลูกข้าวโพด แต่ก็มีบางคนก็ไม่มีประสบการณ์การปลูกข้าวโพดที่เขาเขียวเพราะถูกเชิญให้ออกไปก่อน จะเข้าสู่ปีที่ 2 การหักล้างถางพงเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยรถแทรกเตอร์เดวิด บราวน์ ไล่ไถดะไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงตีนเขาเขียว มันคือพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพด มองดูไกลสุดลูกหูลูกตา พวกเราต่างเพ่งดูพื้นที่ไถด้วยใจระทึก เพราะต่างตระหนักดีว่าภาระอันหนักอึ้งของพวกเราก็คือการได้เป็นเจ้าของแปลงข้าวโพดชั่วคราว โดยอาจารย์จะมีการจัดสรรพื้นที่ให้พวกเราได้เพาะปลูกข้าวโพดพร้อมทั้งการดูแลรักษาจนกว่าจะถึงวันเก็บเกี่ยว บางคนได้แต่นึกกระหยิ่มใจวาดฝันถึงข้าวโพดต้มข้าวโพดเผาในอนาคตว่า กลิ่นมันคงเย้ายวนจมูกและรสชาติมันคงหอมหวานไม่มีอะไรมาเปรียบได้เลยที่เขาเขียว

แต่ความหวังของนักชิมเหล่านี้ก็ต้องมีอันพังพินาศไปสิ้นเพราะข้าวโพดที่จะปลูกเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเก็บฝักแก่แล้วนำมากะเทาะเมล็ดใช้เป็นอาหารสัตว์ เป็นข้าวโพดพันธุ์กัวเตมาลาที่มีแต่ความแข็ง ปราศจากความอ่อนนุ่มของเมล็ด ขนาดฝักอ่อนเอามาต้มกินยังแข็งอยู่ บางคนก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกกับตัวเองว่า ต่อให้เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็เหอะมันจะเหนือกว่าคนไปได้อย่างไร หลังจากการไถพรวนในครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การปลูกข้าวโพดก็เริ่มขึ้น บางแปลงต้องการความสวยงามก็จะขึงเชือกให้พวกเราเดินเรียงหน้ากระดานใช้จอบขุดตามระยะที่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนเชือก จากนั้นจึงเลื่อนมาแถวต่อไป

พวกที่หยอดเมล็ดจึงหยอดตามแล้วใช้เท้าเขี่ยดินกลบและกระทืบตามด้วยความโกรธ บางคนก็แกล้งหยอดเป็นกำมือเพื่อให้เมล็ดหมดเร็วๆ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูฝนมีฝนตกมาบ้างแล้วไม่กี่วันหลังจากปลูกข้าวโพดก็งอกขึ้นมา บางหลุมที่หยอดเป็นกำๆ ต้องถอนออกให้เหลือเพียง 2-3 ต้น ต้นข้าวโพดเจริญเติบโตได้ดี

จากหอพักมองไปที่ภูเขาจะเห็นเป็นทุ่งข้าวโพดเขียวขจี เพียงเดือนกว่ามันก็สูงท่วมหัวพวกเรากำลังจะติดดอก มันจึงใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวเวลาอู้งานได้เป็นอย่างดีและบางคนก็ใช้ซ่อนตัวในการดูดบุหรี่ เริ่มเข้าสู่เดือนที่ 3 ฝักกำลังเต่งตึงยั่วยวนน้ำลายอย่างมาก อีกไม่นานมันก็จะแก่แล้ว หลายคนซี้ดปากด้วยความเสียดายโอกาสทองจะหลุดลอยไป เพราะในยามนี้ไม่มีขนมอะไรจะมาวิเศษไปกว่าข้าวโพดเป็นไม่มีแน่นอน

และแล้วก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่ตีนเขาเขียวอยู่บ่อยๆ ในช่วงที่ข้าวโพดยังเป็นฝักอ่อน ซึ่งมักจะเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาจากแปลงข้าวโพดในตอนเย็นๆ หรือถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์จะปรากฏในตอนบ่ายๆ อันเป็นปรากฏการณ์ที่เราทุกคนทราบกันดีว่า มีบางคนกำลังเผาข้าวโพดตามกรรมวิธีของบรรพบุรุษ เขาว่าข้าวโพดเผาจะหอมหวานและมันเป็นที่สุด การเผาไม่ได้ยุ่งยากอะไรแค่สุ่มไฟแล้วเด็ดข้าวโพดข้างๆ โยนเข้ากองไฟคอยกลับไปกลับมาสักครู่ก็ได้กินแล้ว บางคนสามารถกินได้ถึง 5 ฝัก ธรรมดาแค่ 2 ฝักก็เต็มทีแล้ว การแพร่ระบาดของกลุ่มคนขโมยข้าวโพดไปเผาเกิดขึ้นเป็นประจำจนจำนวนฝักข้าวโพดลดลง

ดังนั้น ทางโรงเรียนจึงวางแผนจับโจรขโมยข้าวโพดเผา จนแล้วจนรอดก็ยังจับโจรเหล่านี้ไม่ได้สักที โจรพวกนี้มีหลายกลุ่มออกหากินในเวลาที่ไม่พร้อมกัน บางกลุ่มเก็บเอาไปเผาบนภูเขาที่ไม่มีใครตามไปถึง การจับกุมแต่ละครั้งคล้ายกับพวกโจรจะรู้ตัวก่อนมีการวางสายเพื่อดูต้นทางเป็นระยะๆ ครั้นอาจารย์เดินเข้าไปถึงกลุ่มควัน ก็พบแต่กองไฟไม่มีข้าวโพดเผาพบแต่เพียงเปลือกของมันเกลื่อนกลาด สร้างความเดือดดาลใจให้แก่ชุดจับกุมยิ่งนัก มันรู้ได้อย่างไรว่าจะเข้าไปจับ พอไปถึงพวกมันหายวับไปกับตาคล้ายกับพวกผีตองเหลืองหายเข้าป่า พวกโจรแคล้วคลาดจากการจับกุมไปเสียทุกครั้ง และแล้ววันที่เสือสิ้นลายก็มาถึงจนได้

ในวันหนึ่งมีกลุ่มควันได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวไฟไหม้ป่า ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นการเผาข้าวโพดอย่างแน่นอน แต่เป็นการกระทำกันอย่างอุกอาจยิ่งนักไม่คิดเกรงกลัวต่อกฎระเบียบของโรงเรียนเลยสักนิด ชุดจับกุมไปพากันไปที่เกิดเหตุสามารถจับกุมโจรกลุ่มนี้ได้อย่างละมุ่นละม่อม โดยไม่มีการขัดขืนการจับกุมหรือคิดต่อสู้หลบหนีแต่ประการใด ชุดจับกุมได้นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางเป็นข้าวโพดที่เผาแล้วกว่า 20 ฝัก รีบดำเนินการสอบสวนกันในเวลานั้นไปยังห้องสอบสวนชั่วคราวหน้าบ้านอาจารย์ใหญ่ ผู้ต้องหาต่างยอมรับตลอดข้อหาว่า เป็นผู้ลงมือเผาข้าวโพดกัน แต่ทางโรงเรียนก็ไม่สามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาเหล่านี้ได้ เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมดได้ให้การว่า “การเผาข้าวโพดครั้งนี้ได้ขออนุญาตจากอาจารย์ผู้ดูแลแปลงข้าวโพดแล้ว” อาจารย์ใหญ่จึงต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมดกลับหอพัก

ครั้นเมื่อวันเก็บเกี่ยวมาถึง พวกเราต้องฟันฝ่าความระคายเคืองของใบข้าวโพดเพื่อหักฝักมันลงมา แต่เราต่างก็เคยผ่านประสบการณ์การเก็บข้าวโพดกันมาแล้วที่สถานีบำรุงพันธ์สัตว์หนองกวางที่อาจารย์พาพวกเราไปช่วยเก็บให้ ข้าวโพดที่เก็บถูกแกะเปลือกออก นำไปตากไว้ใต้ถุนอาคารเรียน (หลังแรก) ทุกเช้าที่มีการลงงานเช้าพวกเราต่างผลัดกันไปนั่งปั่นเครื่องกะเทาะเมล็ดด้วยมือกัน ในหน้าหนาวอากาศหนาวเย็นการปั่นเครื่องกะเทาะยิ่งเจ็บปวดมือมากแต่ต้องทนปั่นจนกว่าจะหมดชั่วโมงลงงาน เราปั่นข้าวโพดหมดกองในเวลาไม่กี่วัน พวกเราจึงต่างซาบซึ้งถึงความผูกพันกับข้าวโพด

ทุกวันนี้เดินผ่านหน้าร้านขายข้าวโพดปิ้งที่ไรก็อดให้นึกถึงข้าวโพดเผาที่เขาเขียวไม่ได้สักที