กำนันสาว พะเยา แจกกบ เลี้ยง กิน ขาย สร้างรายได้ให้ครัวเรือน

การเลี้ยงกบ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีความนิยมและความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ในการบริโภค แต่เดิมกบเป็นอาหารตามธรรมชาติของมนุษย์ มักจะเจอตามลำห้วย หนอง บึง ท้องนา แต่ด้วยทุกวันนี้มีการใช้สารเคมีในการเกษตร มีโรงงานเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ระบบนิเวศที่กบเคยอาศัยอยู่ได้เปลี่ยนไป อีกทั้งความต้องการบริโภคกบก็สูงขึ้น ทำให้การจับกบไม่ได้คำนึงถึงว่าจะต้องปล่อยให้ตัวเล็กๆ ได้มีโอกาสเติบโตขยายพันธุ์ต่อไป จับมาขายทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ทำให้จำนวนกบตามธรรมชาติลดน้อยลงเรื่อยๆ

กบที่เลี้ยงไว้พร้อมบริโภคและจำหน่าย

เกษตรกรจึงมองเห็นโอกาสที่จะสร้างรายได้จากความต้องการกบเพื่อการบริโภค เพราะกบเป็นสัตว์เลี้ยงง่าย ใช้เวลาไม่มาก ลงทุนน้อย และคุ้มค่า มีการทำฟาร์มเลี้ยงกบหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ การเลี้ยงกบในขวด การเลี้ยงกบคอนโดฯ แบบบ่อซีเมนต์ ฯลฯ และก็มีบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากยังขาดข้อมูลสำคัญอยู่ เช่น นิสัยใจคอของกบ พื้นที่ที่เหมาะกับการเลี้ยงกบ เป็นต้น

การเลือกสถานที่เลี้ยงกบ การเลือกบ่อ หรือคอกเลี้ยงกบ ควรจะอยู่ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย เพื่อสะดวกในการป้องกันศัตรู เช่น งู นก หนู หมา แมว และคน ถ้าบ่อเลี้ยงกบหรือคอกเลี้ยงกบอยู่ห่างจากที่อยู่อาศัยมาก ก็จะถูกศัตรูและคนขโมยจับกบไปขายหมด นก ก็มีทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนแมวอันตรายมาก เพราะนอกจากจะจับกบกินแล้ว บางครั้งก็ชอบจับกบตัวอื่นๆ มาหยอกเล่นจนทำให้กบตาย สรุปการเลือกสถานที่เลี้ยงกบควรมีดังนี้ ใกล้บ้าน ง่ายและสะดวกในการดูแลรักษาและป้องกันศัตรู เป็นที่สูง ป้องกันน้ำท่วม พื้นที่ราบเสมอ เพื่อสะดวกในการสร้างคอกและแอ่งน้ำ ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ให้ห่างจากถนน เพื่อป้องกันเสียงรบกวน เนื่องจากกบต้องการพักผ่อนจะได้โตเร็ว

กำนันศศิธร อัศราช และ คุณประสวย กันทะเนตร พาชมการเลี้ยงกบ

พันธุ์กบที่นำมาเลี้ยง  มี 2 พันธุ์ คือ กบอเมริกันบูลฟร็อก และกบนา สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้เลี้ยงพันธุ์กบนาจะเหมาะกว่า เพราะกบนาใช้เวลาเพียง 4-5 เดือน กบก็โตได้ถึงขนาด 4-5 ตัว ต่อกิโลกรัม เป็นกบที่โตเร็ว และเป็นที่นิยมบริโภคมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ลักษณะกบนาตัวผู้ จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย และกบตัวผู้จะมีกล่องเสียงอยู่ใต้คางแถวๆ มุมปากล่างทั้งสองข้าง ใช้สำหรับส่งเสียงร้องโดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ ส่วนกบตัวเมีย ส่งเสียงร้องได้เหมือนกันแต่เบากว่า ในช่วงฤดูผสมพันธุ์กบตัวผู้จะส่งเสียงร้องและกล่องเสียงจะพองโตและใส ส่วนตัวเมียที่มีไข่แก่จะสังเกตเห็นท้องบวมและใหญ่กว่าปกติ

การเพาะพันธุ์กบ การเตรียมพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ สามารถทำได้ 2 วิธี คือ หาตามแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือซื้อจากแหล่งเพาะเลี้ยงกบ และเพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบขึ้นมาเอง สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้หาตามแหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งเพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ เนื่องจากหาง่าย มีความทนทานโรค และลงทุนน้อยกว่า

การคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ เมื่อเลือกแล้วว่าจะหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบจากแหล่งใด ก็ต้องมาคัดเลือกว่ากบที่จะมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง แม่พันธุ์ตัวที่มีไข่ส่วนท้องจะขยายใหญ่ และจะมีปุ่มสากข้างลำตัวทั้ง 2 ข้าง เมื่อใช้นิ้วสัมผัสจะรู้สึกได้ และแม่พันธุ์ตัวที่พร้อมมากจะมีปุ่มสากมาก แต่เมื่อไข่หมอท้องปุ่มสากนี้ก็จะหายไป การคัดเลือกพ่อพันธุ์ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์กบตัวผู้จะส่งเสียงร้องเสียงดังและกล่องเสียงที่ใต้คางก็จะพองโปน ลำตัวจะมีสีเหลืองเข้ม และเมื่อเราใช้นิ้วสอดที่ใต้ท้อง มันจะใช้ขาหน้ากอดรัดนิ้วเราไว้แน่น

การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์กบ เมื่อได้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบแล้วต้องมีการเตรียมสถานที่สำหรับผสมพันธุ์ ล้างทำความสะอาดบ่อเพาะพันธุ์ด้วยด่างทับทิมเข้มข้น 10 ppm แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นล้างทำความสะอาดด่างทับทิมออกให้หมด เติมน้ำสะอาดใส่บ่อให้ลึกประมาณ  5-7 เซนติเมตร และไม่ควรให้ระดับน้ำสูงเกินไปกว่านี้เพราะไม่สะดวกในการที่กบตัวผู้จะโอบรัดตัวเมีย เพราะว่าขณะที่กบตัวเมียเบ่งไข่ออกมาจากท้อง จะต้องใช้ขาหลังยันที่พื้น ถ้าน้ำลึกมากขาหลังจะยันพื้นไม่ถึงและจะลอยน้ำทำให้ไม่มีพลัง เป็นเหตุให้ไข่ออกมาไม่มาก

เตรียมฝนเทียม โดยทั่วไปกบจะจับคู่ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝน แต่เราจะเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำท่อ PVC ขนาดครึ่งนิ้ว มาเจาะรูเล็กๆ ตามท่อต่อน้ำเข้าไปและให้น้ำไหลออกได้คล้ายฝนตก แล้วนำท่อท่อนนี้ไปพาดไว้บนปากบ่อหรือหลังคาคลุมบ่อ และเปิดใช้เวลาที่จะทำการผสมพันธุ์กบ

การผสมพันธุ์กบ ปล่อยพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ลงไปในบ่อที่เตรียมไว้ โดยให้มีตัวผู้ต่อตัวเมีย จำนวน   1 : 1 ต่อ พื้นที่ 1 ตารางเมตร และต้องปล่อยให้กบผสมกันในตอนเย็น เมื่อปล่อยกบลงไปแล้วจึงเปิดฝนเทียมเพื่อเป็นการกระตุ้นให้กบจับคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งจะอยู่ในช่วงเวลา ประมาณ 17.00-22.00 น. ซึ่งภายในบ่อเพาะต้องมีท่อให้น้ำล้นออกด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำสูงเกินไป กบจะจับคู่ผสมพันธุ์และจะปล่อยไข่ตอนเช้ามืด

การลำเลียงไข่กบจากบ่อผสมไปบ่ออนุบาล หลังจากกบปล่อยไข่แล้วในตอนเช้า ต้องจับกบขึ้นไปใส่ไว้ในบ่อดิน จากนั้นจะค่อยๆ ลดน้ำในบ่อลง และใช้สวิงผ้านิ่มๆ รองรับไข่ที่ไหลตามน้ำออกมา ในขณะที่น้ำลดนั้นต้องคอยใช้สายยางฉีดน้ำเบาๆ ไล่ไข่ ขั้นตอนนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่ให้ไข่แตก และจะต้องทำในตอนเช้าในขณะที่ไข่กบยังมีวุ้นเหนียวหุ้มอยู่ นำไข่ที่รวบรวมได้ไปใส่บ่ออนุบาลโดยใช้ถ้วยตวงตักไข่ โรยให้ทั่วๆ บ่อ แต่ต้องระวังไม่ให้ไข่กบซ้อนทับกันมาก เพราะจะทำให้ไข่เสียและไม่ฟักเป็นตัว เนื่องจากขาดออกซิเจน ระดับน้ำที่ใช้ในการฟักไข่ ประมาณ 7-10 เซนติเมตร ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 24 ชั่วโมง

กำนันศศิธร อัศราช และ คุณประสวย กันทะเนตร พาชมการเลี้ยงกบ

การอนุบาล และการให้อาหารลูกกบ เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวแล้วช่วงระยะ 2 วัน ยังไม่ต้องให้อาหาร เพราะลูกกบยังใช้ไข่แดง (yolk sac) ที่ติดมาเลี้ยงตัวเองอยู่ หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหาร เช่น ไรแดง ไข่ตุ๋น อาหารเม็ด ตามลำดับดังนี้

– อายุ 3-7 วัน ให้อาหาร 20 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว จำนวน 5 มื้อ ต่อวัน

– อายุ 7-21 วัน ให้อาหาร 10-15 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว จำนวน 5 มื้อ ต่อวัน

– อายุ 21-30 วัน ให้อาหาร 5-10 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว จำนวน 4 มื้อ ต่อวัน

– อายุ 1-4 เดือน ให้อาหาร 4-5 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว จำนวน 2 มื้อ ต่อวัน

การเปลี่ยนถ่ายน้ำ เมื่อลูกอ๊อดฟักออกเป็นตัวจะต้องเพิ่มระดับน้ำในบ่อขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ที่ระดับความลึก 30 เซนติเมตร ลูกอ๊อดอายุครบ 4 วัน จะต้องทำาการย้ายบ่อครั้งที่ 1 และระดับน้ำที่ใช้เลี้ยงควรอยู่ที่ระดับ 30 เซนติเมตร เปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวัน วันละ ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ทุกๆ 3-4 วัน ทำการย้ายบ่อพร้อมกับคัดขนาดลูกอ๊อด เมื่อลูกอ๊อดเริ่มเข้าที่ขาหน้าเริ่มงอกต้องลดระดับน้ำในบ่อลงมาอยู่ที่ระดับความลึก ประมาณ 5-10 เซนติเมตร และจะต้องใส่วัสดุที่ใช้สำหรับเกาะอาศัยลงไปในบ่อ เช่น ทางมะพร้าว แผ่นโฟม เป็นต้น

การคัดขนาดลูกกบ (ลูกอ๊อด) เมื่อเลี้ยงไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังฟักออกจากไข่ ลูกอ๊อดจะเริ่มมีขนาดไม่เท่ากัน เนื่องจากการที่กบกินอาหารไม่ทันกัน ดังนั้น จึงต้องทำการคัดขนาดเมื่อลูกอ๊อดอายุได้ประมาณ 7-10 วัน โดยการใช้ตะแกรงคัดขนาดที่ทำจากตาข่ายพลาสติกที่มีขนาดของช่องตาขนาดต่างๆ กัน ซึ่งเราสามารถเลือกซื้อตามขนาดของลูกอ๊อดระยะต่างๆ ได้โดยให้ทำการคัดขนาดทุกๆ 3-4 วัน ทำและแยกไปไว้ในแต่ละบ่อ ในระยะที่ลูกอ๊อดบางตัวเริ่มมีขาหน้างอกออกมาจะใช้ตะแกรงคัดขนาดไม่ได้แล้ว เนื่องจากลูกอ๊อดจะเกาะอยู่ที่ตะแกรงและไม่ลอดช่องลงไปจนต้องเปลี่ยนมาใช้กะละมังเติมน้ำให้เต็ม แล้วคัดลูกกบที่มีครบ 4 ขา ออกไปใส่บ่อเดียวกันไว้ เมื่อลูกกบอายุประมาณ 1 เดือน ลูกกบจะเป็นตัวเต็มวัยไม่พร้อมกัน ลูกกบตัวที่หางยังครบก็จะอยู่ในน้ำ ส่วนลูกกบตัวที่หางหดเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็จะอยู่บนบก จึงต้องคัดแยกลูกกบที่โตเต็มวัยออกไปใส่บ่ออื่นๆ โดยในบ่อจะแบ่งตามอายุลูกกบ ดังนี้

– อายุ 7 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 2,000 ตัว/ตาราเมตร

– อายุ 8-14 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 1,500 ตัว/ตาราเมตร

– อายุ 15-25 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 800 ตัว/ตาราเมตร

– อายุ 26-30 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 500 ตัว/ตาราเมตร

– อายุ 1-4 เดือน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 100-150 ตัว/ตาราเมตร

การดูแล และเลี้ยงกบเต็มวัยจนกบโต การให้อาหารกบควรจะให้วันละ 2 ครั้ง คือ เวลา  07.00 น. และ 17.00 น. โดยให้ปริมาณอาหารเท่ากับ 10% ของน้ำหนักกบ เช่น กบในบ่อมีน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ควรให้อาหาร 10 กิโลกรัม เป็นต้น อาหารของกบมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าผู้เลี้ยงสามารถหาอาหารแบบใดได้ เนื้อปลาสับ ปลายข้าว 1 ส่วน ผักบุ้ง 2 ส่วน      ต้มรวมกับเนื้อปลา เนื้อหอยโข่ง หรือปู เปิดไฟล่อให้แมลงมาเล่นไฟแล้วตกลงในบ่อเลี้ยง แต่  ผลเสียคือ แมลงอาจจะมีพิษ หรือแมลงมียาฆ่าแมลงตกค้าง ทำให้กบตายได้

การให้อาหารช่วงเช้า 07.00 น. ต้องมีการเก็บภาชนะไปล้างประมาณเวลา 10.00 น. เพื่อป้องกันอาหารบูด ส่วนอาหารเย็น 17.00 น. ไม่ต้องเก็บภาชนะไปล้าง เพราะว่ากลางคืนอาหารจะไม่บูดเสีย และธรรมชาติของกบจะหากินตอนกลางคืน

การเลี้ยงกบต้องคอยคัดขนาดกบให้เท่าๆ กันในแต่ละบ่อ เพื่อไม่ให้กบใหญ่กินกบเล็ก และกบเป็นสัตว์ที่ชอบอิสระเสรี ถ้าใช้อวนไนลอนกั้นคอก ทำให้กบสามารถมองเห็นภายนอกและพยายามหาทางออกไปข้างนอก โดยจะกระโดดชนอวนไนลอนจนปากกบบาดเจ็บและเป็นแผล กินอาหารได้น้อยลงจนถึงกินไม่ได้เลยก็มี

การเลี้ยงกบในบ่อดิน ใช้พื้นที่ประมาณ 100-200 ตารางเมตร ภายในคอกเป็นบ่อน้ำลึกประมาณ 1 เมตร ทำเกาะกลางบ่อเพื่อเป็นที่พักของกบและที่ให้อาหาร หรือใช้ไม้กระดานทำเป็นพื้นลาดลงจากชานบ่อก็ได้ รอบบ่อปล่อยให้หญ้าขึ้น หรือปลูกตะไคร้เพื่อให้กบใช้เป็นที่หลบอาศัย มีผักตบชวา หรือพืชน้ำอื่นๆ ให้กบเป็นที่หลบซ่อนและอาศัยความร่มเย็นเช่นกัน มุมใดมุมหนึ่งมุงด้วยทางมะพร้าวเพื่อเป็นร่มเงา

การเลี้ยงกบในคอก เมื่อปรับพื้นที่ราบเรียบเสมอกันแล้ว ขุดอ่างน้ำไว้ตรงกลางคอก เช่น คอกขนาด 4×4 เมตร ขนาด 6×6 เมตร หรือขนาด 8×8 เมตร ต้องทำแอ่งน้ำขนาด 2×3 เมตร มีความลึกประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นบ่อซีเมนต์และลาดพื้นแอ่งน้ำเป็นพื้นที่ชานบ่อทั้ง 4 ด้าน ขัดมันกันรั่ว ใส่ท่อระบายน้ำจากแอ่ง ขนาด 0.5 นิ้ว รอบๆ แอ่งน้ำเป็นพื้นที่ชานบ่อทั้ง 4 ด้าน เพื่อสะดวกต่อการให้อาหารและที่กบได้พักอาศัย รอบๆ คอกปักเสาทั้ง 4 ด้าน ให้ห่างกัน ช่วงละ 2 เมตร นำอวนสีเขียวมาขึงรอบนอก นำทางมะพร้าวแห้งมาพาดให้เต็มแต่อย่าแน่นเกินไป แล้วหากระบะไม้ กะละมังแตก หรือกระบอกไม้ไผ่อันใหญ่ๆ มาวางไว้ในคอกเพื่อให้กบหลบซ่อนตัวในเวลากลางวัน ส่วนกระบะ หรือลังไม้ที่นำมาวาง ให้เจาะประตูเข้าออกทางด้านหัวและท้ายเพื่อสะดวกต่อการจับกบจำหน่าย การทำคอกเลี้ยงกบแบบนี้ มีอัตราปล่อยกบลงเลี้ยง คือ

คอกขนาด 4×4 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ไม่เกิน 1,000 ตัว

คอกขนาด 6×6 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ไม่เกิน 1,200 ตัว

คอกขนาด 8×8 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ไม่เกิน 2,500 ตัว

การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ แบบนี้เป็นที่นิยมเพราะดูแลรักษาง่าย กบมีความเป็นอยู่ดีและเจริญเติบโตดี สะดวกสบายต่อผู้เลี้ยงในด้านการดูแลรักษา บ่อปูนซีเมนต์สร้างจากแผ่นซีเมนต์บล็อก และฉาบด้วยปูนซีเมนต์ ปูนที่ฉาบจะหนาเป็นพิเศษ ตรงส่วนล่างที่เก็บขังน้ำ คือ มีความสูงจากพื้นเพียง 1 ฟุต พื้นล่างเทปูนหนาเพื่อรองรับน้ำ และมีท่อระบายน้ำอยู่ตรงส่วนที่ลาดสุด พื้นที่เป็นที่ขังน้ำนี้ นำวัสดุลอยน้ำ เช่น ไม้กระดาน ขอนไม้ ต้นมะพร้าว ให้ลอยน้ำ เพื่อให้กบขึ้นไปเป็นที่อยู่อาศัย สามารถเลี้ยงปลาดุกเพื่อให้เก็บกินเศษอาหารและมูลกบได้ด้วย ในอัตราส่วน กบ : ปลาดุก 100 : 20 ด้านบนของบ่อจะเปิดกว้างเพื่อให้แดดส่องลงไปทั่วถึง มุมใดมุมหนึ่งของบ่อนำทางมะพร้าวมาปกคลุม เพื่อเป็นส่วนของร่มบ่อเลี้ยงกบแบบซีเมนต์ ถ้าทำขนาด 3×4 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ 1,000 ตัว และปลาดุกอีก 200 ตัว พื้นล่างของบ่อดังกล่าว

การจับกบจำหน่าย เนื่องจากสถานที่และรูปแบบบ่อเลี้ยง ทำให้ความสะดวกในการดูแลรักษาย่อมแตกต่างกัน ยังรวมไปถึงการจับกบจำหน่ายก็แตกต่างกันอีกด้วย ดังนี้

การเลี้ยงกบในบ่อดิน จะต้องจับหมดทั้งบ่อในคราวเดียว เพราะบ่อเลี้ยงมีโคลนตมและต้องเก็บพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักตบชวา ขึ้นให้หมดก่อน ต้องใช้เวลาและแรงงานมาก และต้องไล่จับกบที่หลบซ่อนให้หมดในครั้งเดียว

การเลี้ยงกบในคอก สามารถจับทั้งหมด หรือจับเป็นบางส่วนก็ได้ โดยทำกระบะไม้ ซึ่งปกติกบก็จะเข้าไปอยู่ในกระบะ แล้วให้มีช่องเข้าออกอยู่ตรงข้ามกัน ด้านหนึ่งให้กบกระโดดออกจากบ่อเข้ากระสอบที่เตรียมไว้ และช่องสำหรับให้มือล้วงไปต้อนให้กบกระโดดเข้ากระสอบ

การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ สามารถจับทั้งหมดหรือจับเป็นบางส่วนก็ได้ โดยใช้สวิงช้อน หรือใช้มือจับก็ได้

การเลี้ยงกบควรจะคำนึงถึงฤดูต่างๆ ด้วย เนื่องจากฤดูฝนจะมีกบธรรมชาติออกมาขายค่อนข้างมาก จึงทำให้ราคากบในช่วงฤดูฝนต่ำกว่าฤดูอื่น ผู้เลี้ยงจึงต้องเผื่อระยะเวลาเพื่อให้กบโตพร้อมจะจับในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูหนาว จึงจะขายได้ราคาคุ้มค่าการลงทุน และการขนส่งกบควรจะมีภาชนะใส่น้ำเล็กน้อย และมีวัสดุให้กบเข้าไปหลบอาศัย เช่น ฟาง ผักบุ้ง ผักตบชวา เพราะถ้าไม่มีวัสดุให้กบหลบซ่อน จะทำให้กบตกใจกระโดดจนจุกเสียและตายได้

การทำความสะอาดบ่อเลี้ยงกบ งดให้อาหารกบก่อนลงไปทำความสะอาด เพราะถ้ากบกินอาหารแล้วกระโดดเต้นไปมาเพราะตกใจ เนื่องจากคนลงไปรบกวน จะทำให้กบจุกเสียดแน่นและตาย ควรหาวัสดุที่โปร่งเป็นโพรง เช่น ทางมะพร้าวสุมทุมเพื่อให้กบเข้าไปหลบซ่อนตัวเมื่อเข้าไปทำความสะอาด โดยเฉพาะในบ่อซีเมนต์เมื่อปล่อยน้ำเก่าทิ้งจนแห้ง กบจะเข้าไปหลบตัว หลังจากทำความสะอาดแล้ว อาหารมื้อต่อไปควรผสมยาลงไปด้วยทุกครั้ง เพื่อบรรเทาอาการอักเสบลงได้

บ่อเลี้ยงกบ

โรคและการป้องกันโรค โรคที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดการเลี้ยงและการจัดการไม่ดี ทำให้มีการหมักหมมของเสียต่างๆ เกิดขึ้นในบ่อ โดยเฉพาะการใช้บ่อซีเมนต์ หรือมีจำนวนกบหนาแน่นเกินไป และอาจจะขาดความเอาใจใส่และไม่เข้าใจในเรื่องความสะอาดของบ่อรวมถึงน้ำที่เลี้ยง โอกาสที่กบจะเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจึงมีมากขึ้น สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันโรคคือ บ่อเลี้ยงต้องสะอาด มีแสงแดดส่งถึงพื้น น้ำต้องสามารถถ่ายเทได้สะดวกโดยทำท่อน้ำเข้าทางหนึ่ง และทำท่อน้ำระบายออกอีกทางหนึ่ง และยังสามารถเลี้ยงปลาดุกเพื่อให้ช่วยเก็บกินเศษอาหารและมูลกบ ในอัตราส่วน กบ : ปลาดุก 100 : 20 นั่นคือปล่อยกบ 100 ตัว แล้วปล่อยปลาดุกไม่เกิน 20 ตัว การปล่อยกบเลี้ยงในบ่อต้องไม่มีจำนวนมากเกินไป และถ้าพบว่ากบตัวใดมีอาการผิดปกติให้แยกออกมาจากบ่อทันที

การเลี้ยงกบนา ใช้น้ำไม่มาก และใช้พื้นที่น้อย เลี้ยงได้ทั้งบ่อดินและบ่อซีเมนต์ ขนาดประมาณ 6-12 ตารางเมตร ใน 1 บ่อ มีจำนวนกบประมาณ 400-800 ตัว ใช้เวลาเลี้ยง 3-4 เดือน ก็สามารถจับขายได้ เมื่อคิดแล้วต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 บาท/กิโลกรัม

แนวโน้มการเลี้ยงกบในอนาคต กบเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่งซึ่งตลาดนิยมบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สเปน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฯลฯ และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยเลี้ยงตัวตามธรรมชาติของกบลดลง ดังนั้น แนวโน้มการเลี้ยงกบในอนาคต จึงถือว่าเป็นช่องทางที่น่าสนใจ ไม่มีปัญหาด้านการจำหน่าย และราคาก็ดีมีผลคุ้มค่าต่อการลงทุน ลงแรง สามารถส่งเป็นสินค้าส่งออกช่วยการขาดดุลให้แก่ประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย

คุณประสวย กันทะเนตร อายุ 65 ปี บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 6 บ้านป่าสัก ตำบลป่าสัก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา  พร้อมชาวบ้านแก หมู่ที่ 1 และบ้านป่าสัก หมู่ที่ 6 ตำบลป่าสัก ได้รับการสนับสนุนจาก คุณศศิธร อัศราช กำนันหญิงตำบลป่าสัก สนับสนุนส่งเสริมชาวบ้านเลี้ยงกบพันธุ์พืันเมืองในบ่อซีเมนต์ขายสร้างรายได้ให้กับชุมชนและครอบครัว ปีละหลายแสนบาท

คุณประสวย กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนพ่อกบพันธุ์แม่พันธุ์พื้นเมืองผสม จาก คุณศศิธร อัศราช กำนันหญิงตำบลป่าสัก มาเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ประมาณ 10 บ่อ หลังจากเลี้ยงจนตัวโตเต็มวัย จะนำออกขายส่งในกิโลกรัมละ 80 บาท ขายปลีก กิโลกรัมละ 100 บาท ส่วนลูกกบ จะขายตัวละ 2 บาท ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและชาวบ้านชุมชนเป็นอย่างดี

สำหรับการเลี้ยงกบ ได้รับการสนับสนุนจาก แม่กำนันหญิง คุณศศิธร อัศราช กำนันหญิงตำบลป่าสัก ซึ่งได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ดังกล่าว