อดีตข้าราชการทหาร หันจับอาชีพเพาะเลี้ยงปลาปลาเบญจพรรณควบคูกับทำการเกษตรแบบผสมผสานในช่วงปั่นปลายของชีวิต มีอิสระ ลงทุนน้อย ผลตอบแทนสูง

การเพาะเลี้ยงปลาเศรษฐกิจได้พัฒนาเทคนิคการเลี้ยงให้ทันสมัยและให้ความสำคัญกับการเลือกพื้นที่เลี้ยงตอลดจนการเลือกชนิดปลาเข้ามาเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่นิยมเลือกปลาที่เลี้ยงง่าย ทนทานต่อโรค  ทนกับสภาพน้ำและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี มาเลี้ยง ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่เลือก คือ ปลาดุก เนื่องจากเป็นปลาหนังที่นอกจากจะเลี้ยงง่าย ใช้ต้นทุนเลี้ยงน้อย แล้วยังให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน

จ่าสิบเอกไพทูล พันธาตุ

จ่าสิบเอก ไพทูล พันธาตุ อดีตข้าราชการทหารเป็นบุคคลหนึ่งที่หันมาจับอาชีพเพาะเลี้ยงปลาปลาเบญจพรรณควบคูกับทำการเกษตรแบบผสมผสานในช่วงปั่นปลายของชีวิต  อยู่ที่ตำบลเขาสามสิบ  อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว

หันทำอาชีพอิสระ สร้างความสุขให้ชีวิต

จ่าสิบเอก ไพทูล เล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่รับราชการอยู่มีโอกาสทำงานพัฒนาส่งเสริมด้านการเกษตรกับหน่วยพัฒนาการเคลือนที่ ทำให้ได้สัมผัสและได้เรียนรู้การทำการเกษตรทุกรูปแบบจนมีความชำนาญ พอเกษียณราชการจึงออกมาทำการเกษตรแบบผสมผสาน ภายใตจิตสำนึกรักในอาชีพเกษตรกรรมที่ติดตัวมา

“อายุก็มาก จะไปปลูกมัน ทำไร่ ทำนา  เหมือนกับคนอื่นๆ ก็ทำไม่ไหว จึงปรับแนวคิดมาทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชผัก ไม้ผล เลี้ยงสัตว์  ในพื้นที่เดียวกัน โดยไม่ต้องใช้แรงเยอะใช้ความรู้ที่ติดตัวจากการทำงานในหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่เป็นระยะเวลากว่า 8  ปี มาปรับใช้ในพื้นที่ก็เพียงพอ”

จ่าสิบเอก ไพทูล เริ่มทำการเกษตรผสมผสาน ช่วงประมาณปี 45-46 โดยเริ่มจากพื้นที่ทั้งหมด 28 ไร่ ทำการจัดสรรแบ่งทำนาปลูกข้าว 7 ไร่ ขุดบ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้และเลี้ยงปลาเบญจพรรณ 6 ไร่ และส่วนที่เหลือปลูกพืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้นเก็บผลผลิตจำหน่ายรายวัน เช่น หวานกินยอด

ปลูกพืชผสมผสาน รายได้ตลอดปี

“ทำนาปลูกข้าวปีละหนึ่งครั้ง คือ นาปี เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีน้ำน้อยซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำนาสองรอบ โดยพันธุ์ข้าวที่นำปลูกเป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองเพื่อเก็บไว้บริโภคในครอบครัวเป็นหลัก   ส่วนช่วงฤดูแล้งจะปลูกพืชผักที่ใช้น้ำน้อย เช่น แตงไทย บวบ ถั่วฝักยาว ฯลฯ เป็นพืชเสริมที่สามารถเก็บผลผลิตขายสลับหมุนเวียนกันทุกๆ ปี”

นอกจากพืชผักและนาข้าว จ่าสิบเอก ไพทูล ยังเลี้ยงปลาเบญพรรณ ปลานิล ปลาไน และปลาดุกในกระชัง ในบ่อเดินขนาดใหญ่ที่ขุดกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง จำนวน 3 บ่อ กินพื้นที่ราว 6  ไร่ ควบคู่กับเพาะเลี้ยงปลาในบ่อดินและในกระชังภายในบ่อตามโครงการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของสำนักงานประมงจังหวัด

“ปลูกพืชผัก ผลไม้ และทำนา สักระยะหนึ่ง ทางประมงจังหวัดก็มีโครงการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้กับเกษตรกรที่มีพื้นที่และความพร้อม โดยการคัดเลือกและส่งไปอบรมการเลี้ยงสัตว์น้ำ จึงเข้าสมัครและได้รับคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรตัวอย่างการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่”

ใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำ เลี้ยงปลาเบญจพรรณ

ปลาชนิดแรกที่ จ่าสิบเอก ไพทูล เริ่มเลี้ยงเป็นปลานิล เนื่องจากเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงในบ่อดิน เลี้ยงมาได้สักระยะจึงเริ่มพัฒนานำปลาอื่นๆเข้ามาเลี้ยงรวมกันภายในบ่อหลากหลายชนิด กลายเป็นการเลี้ยงปลาเบญจพรรณโดยมีความกว้างและความยาวบ่อเพาะเลี้ยงขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ ความลึกของบ่อประมาณ 1.5 เมตร ภายในบ่อเพาะเลี้ยงสร้างที่อยู่อาศัยให้เลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด ปลูกผักบุ้ง ผักกระเฉด ไว้รอบๆบ่อเลี้ยงเพื่อใช้ป้องกันแดด และให้ปลาใช้เป็นที่หลบศัตรูที่จะมาทำร้าย

“ผมแบ่งแผนการเลี้ยงตามฤดูกาล ในช่วงฤดูร้อนจะปล่อยปลาปริมาณน้อยกว่าช่วงฤดูฝนและหนาว เนื่องจากเป็นช่วงฤดูที่เหมาะกับการเลี้ยงปลา มีปริมาณน้ำที่เพียงพอมากกว่า โดยพันธุ์ปลาจะรับชื้อมาจากฟาร์มที่มีคุณภาพในราคาตัวละ 50 สตางค์  จากนั้นนำมาอนุบาลในกระชังจนแข็งแรง ก่อนนำไปปล่อยในบ่อเพาะเลี้ยง ซึ่งอัตราการปล่อยประมาณ 50,000 ตัว/ไร่

สำหรับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันสำหรับการเลี้ยงปลา คือ ให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปวันสองครั้ง (เช้า – เย็น)ช่วงไหนผัก ผลไม้ที่ปลูกในสวนเหลือจะเก็บมาโยนเป็นอาหารให้ปลา นอกจากผักผลไม้ที่ให้เสริมจากอาหารเม็ด ภายในบ่อเพาะเลี้ยงจะติดไฟล่อแมลงไว้ตามขอบบ่อ ประมาณ 3 จุด/บ่อ เพื่อให้แมลงที่เป็นศัตรูพืชมาเล่นและตกลงไปเป็นอาหารให้ปลา สามารถช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงได้อีกทางหนึ่ง

และนอกจากอาหารเม็ดสำเร็จรูป ผัก ผลไม้ แล้วยังมีอาหารจากธรรมชาติที่สามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยการทำปุ๋ยหมักไว้ตามมุมบ่อเพาะเลี้ยง โดยมีวิธีการทำและขั้นตอน ง่ายๆเพียงนำไม้มาปักตามมุมบ่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมจากนั้นนำฟางใส่ลงไปและอัดให้แน่น ปล่อยทิ่งไว้ระยะหนึ่งฟางที่อัดลงไปจะเริ่มย่อยเป็นปุ๋ย กลายเป็นตระไคร้น้ำ สาหร่าย ทำให้เกิดลูกไร และกลายเป็นอาหารของปลาเล็กและปลาใหญ่”

แต่ละปี ช่วงฤดูแล้ง จ่าสิบเอก ไพทูล จะทำความสะอาดบ่อเพาะเลี้ยงเพื่อป้องกันโรค โดยการลอกทำความสะอาด ตากบ่อไว้ประมาณ 7  วัน โรยด้วยปูนขาวปรับสภาพดินก่อนจะทำการเลี้ยงในรอบใหม่ทุกครั้ง

ผลผลิตที่ได้

ส่วนตลาดที่มารองรับผลผลิตของ จ่าสิบเอก ไพทูล หลักๆจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดนัด  ชาวบ้าน ซึ่งราคาจำหน่ายอยู่ประมาณ 50 บาท/กิโลกรัม แต่หากช่วงไหนที่ปลาราคาถูก จะปรับวิธีการขายใหม่ โดยการเปิดให้เป็นสถานที่ตกปลาบริการให้กับเหล่านักล่าทั้งหลายได้ใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดมาประลองฝีมือ ในราคา กิโลกรัมละ 50 บาท ซึ่งจากที่ทำมาการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ และมีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการลักษณะนี้เพิ่มขึ้นทุกๆปี

จากความสนใจทางด้านการเกษตร ใช้เวลาศึกษา ลองผิดลองถูก การทำนา การปลูกผัก เลี้ยงปลา จนมีความชำนาญและประสบความสำเร็จ จ่าสิบเอก ไพทูล จึงได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้เป็นศูนย์เรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ทางด้านการเกษตรให้กับคนที่สนใจ โดยมีเจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนในจังหวัดสระแก้วเข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยง และติดจามผลการดำเนินงานในแต่ละเดือนอย่างต่อเนื่อง

“การเกษตรเชิงพานิชย์ ปลูกพืชเชิงเดียว เราต้องลงทุนสูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเรามาทำแบบพอเพียง ปลูกทุกอย่างทีกิน กินทุกอย่างที่ปลูกในพื้นที่ของเราแล้ว เราก็จะไม่มีรายจ่าย มีแต่รายได้เข้ามาทุกๆ วันจากการขายพืชผัก ผลไม้ ไม่ต้องกังวลว่าวันนี้จะเอาอะไรกิน ปลามี ผักมี ข้าวมี แค่นี้ก็มีความสุข”