เผยแพร่ |
---|
ไม้ดอก หมายถึง พันธุ์ไม้ทุกชนิดที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากความสวยงามของดอก มีดอกสวยงาม ดอกดก บานทน นิยมปลูกไว้เพื่อเป็นการเพิ่มบรรยากาศให้บ้านและสถานที่ทำงานสวยงามน่าอยู่
ใช้ประดับตกแต่งอาคาร และยังสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ที่พบเห็น หรือปลูกไว้เพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนก็เป็นที่นิยมกันมาก นอกจากนี้ ไม้ดอกยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ใช้ในงานพิธีต่างๆ ใช้เพิ่มสีสันให้แก่อาหารและเครื่องดื่ม ให้สวยน่ารับประทาน ใช้เป็นยารักษาโรค ใช้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก เป็นต้น และที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายคือ การสร้างอาชีพเกี่ยวกับไม้ดอก ไม้ประดับ เหมือนดังเช่น ชาวบ้านบ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ก็เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่สร้างรายได้อย่างงดงามจากการปลูกไม้ดอกขายกันเกือบทั้งหมู่บ้าน
คุณบัวคำ วรรณการ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 220 หมู่ที่ 3 บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ปลูกไม้ดอกเพื่อจำหน่าย โดยปลูกตลอดทั้งปี จนสามารถสร้างรายได้อย่างงดงาม ทำให้ชีวิตพออยู่ พอกิน ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้จ่ายไม่ขัดสนและยังเหลือเก็บฝากธนาคารอีกด้วย ส่วนดอกไม้ที่ปลูกนั้นคือ ดอกเบญจมาศ สีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น
คุณบัวคำ เล่าว่า เดิมทีครอบครัวตนจะประกอบอาชีพทำนาอย่างเดียว ต่อมาเพื่อนบ้านได้พากันปลูกดอกเบญจมาศขาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตนก็ยังลังเลใจอยู่ เพราะไม่มั่นใจในการตลาดและยังไม่มีความรู้ หลังจากดูเพื่อนบ้านปลูกเป็นเวลาหลายปี พร้อมศึกษาการปลูก การดูแลไปในตัว จึงตัดสินใจลงมือปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยแบ่งที่นามาทำเป็นแปลงเพาะปลูกดอกเบญจมาศจำนวน 4 ไร่ โดยปลูกเบญจมาศสีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและตลาดไม้ดอก และดอกของเบญจมาศที่ปลูกกันอยู่จะมี 3 ขนาด คือ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ตนจะปลูกทั้ง 3 ขนาดเลย ต่อมาเห็นว่ารายได้ดี จึงเลิกทำนา แล้วหันมาปลูกดอกเบญจมาศขายเพียงอย่างเดียว ส่วนที่นาบางส่วนก็ให้ญาติพี่น้องทำ
เมื่อหันมาปลูกดอกไม้ขายอย่างจริงจังก็สามารถสร้างรายได้ดีกว่าการทำนามาก แรงงานก็ไม่ต้องจ้าง เพราะทำกันเองภายในครอบครัว แม้จะลงทุนสูงแต่ก็คุ้มค่า เพราะว่ารายได้ต่อเดือน ประมาณเดือนละ 120,000 บาท หลังจากหักต้นทุนผลผลิตแล้ว ก็จะเหลือเงินเก็บประมาณเดือนละ 80,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ถ้าหากมีแรงสู้และแรงงานมีเพียงพอก็คงปลูกเพิ่มอีกหลายไร่ แต่ก็คงไม่ไหว แค่ 4 ไร่ นี้ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว สำหรับการปลูกดอกเบญจมาศ ตนและเพื่อนบ้านจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม พอถึงเดือนตุลาคม จะเริ่มออกดอก และสามารถตัดขายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนเมษายน พอเดือนพฤษภาคม ก็เตรียมปลูกใหม่ ทั้งไถพรวนดิน เตรียมแปลง เพาะปลูก เรียกว่าทำกันทั้งปีเลยทีเดียว สำหรับตนแล้วจะปลูกทดแทนไปเรื่อยๆ เก็บตัดแปลงนี้หมดก็จะปลูกใหม่ทันที เรียกว่ามีขายทั้งปีกันเลยทีเดียว
คุณบัวคำ เล่าว่า สำหรับแม่พันธุ์นั้น ครั้งแรกตนจะสั่งซื้อแม่พันธุ์ที่เขาชำไว้แล้วมาปลูก โดยลงทุนซื้อแม่พันธุ์ครั้งแรกประมาณ 30,000 บาท ในปีต่อๆ มา จึงทำการคัดเลือกแม่พันธุ์เอง การทำสวนดอกไม้นี้ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับสวนและได้ผลตอบแทนเกินคาด สำหรับดอกเบญจมาศที่ตนปลูกจะออกดอกช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนเมษายน ของทุกปี พันธุ์ที่ตนปลูกนี้ ขาวญี่ปุ่น ขาวปิงปอง จะดูแลยากสักหน่อย ส่วนเหลืองเรวดี เหลืองขมิ้น จะดูแลง่าย ทั้งนี้ เราต้องมีความรู้ตั้งแต่การเตรียมการปลูก การเตรียมพันธุ์ ขยายพันธุ์ปลูก และการเตรียมแปลงชำรากดอกเบญจมาศ จึงจะประสบความสำเร็จและเก็บเกี่ยวได้ผล ซึ่งมีวิธีการดังนี้
- เตรียมแปลง ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาวประมาณ 20-30 เมตร หรือตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยทำเป็นกระบะไม้ยกสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
- ผสมดินสำหรับชำราก ใช้ทราย 1 ส่วน ดินร่วน 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักรองพื้นแปลงไว้ให้มีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร รดน้ำพอชุ่ม เริ่มชำได้ทันที
- แปลงกระบะชำรากต้องอยู่ในโรงเรือน แล้วติดหลอดไฟตูม แรงเทียน 100 วัตต์ ประมาณ 3-5 หลอดเพื่อกกไฟให้กับต้นอ่อน ส่วนการดูแลรักษารากชำเบญจมาศนั้นก็ให้ทำตามขั้นตอน ถ้าจะบอกไปคงจะยาวพอสมควร เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ให้มาพบตนที่สวนได้ทุกวัน ยินดีที่จะอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษาให้แบบฟรีๆ ที่สำคัญ เมื่อดูแลต่อเนื่องประมาณ 15 วัน ต้องย้ายต้นอ่อนลงปลูกตามปกติต่อไป หากเกินอายุ 15 วันไปแล้ว จะทำให้ดูแลยาก และการปลูกนั้นต้องปลูกให้ถูกวิธี ซึ่งตนไม่ขอกล่าวในที่นี้ รวมทั้งการดูแล การให้น้ำ การเด็ดยอดเพื่อให้ต้นแตกกิ่งข้างมากขึ้น การปลิดดอกข้างเพื่อให้ดอกเบญจมาศมีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ตามความต้องการ และการเพิ่มแสงไฟ สิ่งเหล่านี้เราต้องศึกษาให้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง
คุณบัวคำ บอกว่า หลังปลูกได้ 7 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 30 กิโลกรัม ต่อแปลง โดยโรยตรงร่องระหว่างแถวของต้น แล้วเริ่มให้ไฟวันละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 22.00-02.00 น. ต่อเนื่อง 25 วัน เมื่อดอกเบญจมาศมีอายุได้ 15 วัน ให้พรวนดิน แล้วใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 ประมาณแปลงละ 0.5 กิโลกรัม เพื่อเร่งรากและใบ และเมื่อดอกเบญจมาศอายุครบ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 อีกครั้ง ในอัตราเท่าเดิม เมื่อดอกเบญจมาศครบ 60 วัน ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อแปลง จากนั้นเริ่มตกแต่งตาดอก คือเด็ดก้านดอกข้างลำต้นให้เหลือตรงปลาย 4-5 ดอก และเด็ดดอกตรงกลางด้วยเพราะดอกกลางจะบานก่อนเพื่อน หลังจากแต่งตาดอก 25 วัน ดอกไม้จะเริ่มแย้มและบานพร้อมกันทั้งหมดใน 30 วัน สามารถทยอยเก็บดอกไม้เริ่มจำหน่ายได้เรื่อยๆ แล้วแต่ความสมบูรณ์ของดอก แต่โดยรวมแล้วดอกเบญจมาศต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 วัน จะได้ดอกเบญจมาศที่สวย สมบูรณ์ และก้านตรง ตรงตามความต้องการของตลาด ตลอดช่วงเวลาที่ดอกเบญจมาศเจริญเติบโต เลื่อนตาข่ายขึ้นเสมอตามความสูงของดอกไม้ ให้รักษาระดับที่ใต้ก้านดอก 20-25 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ดอกเบญจมาศที่สวยงาม
การเก็บเกี่ยวดอกเบญจมาศ ต้องตัดดอกให้ห่างโคนต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นจึงไปปรับขนาดของก้านดอกตามความต้องการของตลาด แต่โดยรวมทั้งหมด ขนาดของก้านต้องไม่ยาวเกิน 60 เซนติเมตร ส่วนโรครบกวนนั้นก็มีบ้าง อย่างเช่นที่เขาเรียกโรคราน้ำค้าง โรคราสนิม และพวกแมลงต่างๆ หนอนกระทู้ หนอนแก้ว เพลี้ยต่างๆ และเพลี้ยไฟ เราก็ต้องเรียนรู้การป้องกันและการกำจัด ที่สำคัญอ่านคำแนะนำบนฉลากของยาแต่ละชนิดให้เข้าใจ และป้องกันตัวเองเรื่องการแพ้สารเคมีด้วย
ในตอนท้าย คุณบัวคำ บอกว่า ตลาดรองรับดอกไม้ของตนนั้นคือ ตลาดสดอำเภอวารินชำราบ ตลาดเทศบาล 1 ในเมืองอุบลราชธานี ช่วงแรกๆ ต้องนำไปวางขายเอง แต่ในปัจจุบัน แม่ค้าคนกลางจะมารับซื้อถึงสวน โดยเราจะทำเป็นมัด มัดละไม่เกิน 20 ดอก แล้วชั่งกิโลขาย ในราคากิโลกรัมละ 70-80 บาท บางทีมีคนมาเหมาที่สวนเป็นจำนวนมากๆ ก็จะชั่งกิโลขายเลย ไม่ต้องมัด และยังมีลูกค้าจากจังหวัดใกล้เคียง ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด มาสั่งซื้อคราวละมากๆ และมารับถึงสวน จนเป็นขาประจำกันไปแล้วก็หลายราย ทำให้ปัญหาเรื่องตลาดจำหน่ายหมดไป สร้างรายได้เดือนละ 100,000 บาท อย่างสบายๆ เพื่อนบ้านบางคนปลูกหลายไร่ก็ยิ่งมีกำไรมากกว่าตนขึ้นไปอีก และในแต่ละปีจะมีช่วงที่ขายดีที่สุดคือ ช่วงออกพรรษา ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลลอยกระทง จนถึงวันวาเลนไทน์ เรียกว่าตลอดฤดูหนาว รายได้จะดีมากและยังมีคณะทัวร์จากต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมแปลงดอกไม้ในหมู่บ้านของเรากันมากในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทำให้ดอกไม้ขายดีตามไปด้วย
ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (090) 046-2710