ปลูกไม้ดอกขาย สร้างรายได้ เดือนละ 1 แสนบาท !!

เบญจมาศสีเหลือง

ไม้ดอก หมายถึง พันธุ์ไม้ทุกชนิดที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากความสวยงามของดอก มีดอกสวยงาม ดอกดก บานทน นิยมปลูกไว้เพื่อเป็นการเพิ่มบรรยากาศให้บ้านและสถานที่ทำงานสวยงามน่าอยู่

ใช้ประดับตกแต่งอาคาร และยังสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ที่พบเห็น หรือปลูกไว้เพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนก็เป็นที่นิยมกันมาก นอกจากนี้ ไม้ดอกยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ใช้ในงานพิธีต่างๆ ใช้เพิ่มสีสันให้แก่อาหารและเครื่องดื่ม ให้สวยน่ารับประทาน ใช้เป็นยารักษาโรค ใช้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก เป็นต้น และที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายคือ การสร้างอาชีพเกี่ยวกับไม้ดอก ไม้ประดับ เหมือนดังเช่น ชาวบ้านบ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ก็เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่สร้างรายได้อย่างงดงามจากการปลูกไม้ดอกขายกันเกือบทั้งหมู่บ้าน  

คุณบัวคำ วรรณการ
คุณบัวคำ วรรณการ

คุณบัวคำ วรรณการ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 220 หมู่ที่ 3 บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ปลูกไม้ดอกเพื่อจำหน่าย โดยปลูกตลอดทั้งปี จนสามารถสร้างรายได้อย่างงดงาม ทำให้ชีวิตพออยู่ พอกิน ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้จ่ายไม่ขัดสนและยังเหลือเก็บฝากธนาคารอีกด้วย ส่วนดอกไม้ที่ปลูกนั้นคือ ดอกเบญจมาศ สีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น

คุณบัวคำ เล่าว่า เดิมทีครอบครัวตนจะประกอบอาชีพทำนาอย่างเดียว ต่อมาเพื่อนบ้านได้พากันปลูกดอกเบญจมาศขาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตนก็ยังลังเลใจอยู่ เพราะไม่มั่นใจในการตลาดและยังไม่มีความรู้ หลังจากดูเพื่อนบ้านปลูกเป็นเวลาหลายปี พร้อมศึกษาการปลูก การดูแลไปในตัว จึงตัดสินใจลงมือปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยแบ่งที่นามาทำเป็นแปลงเพาะปลูกดอกเบญจมาศจำนวน 4 ไร่ โดยปลูกเบญจมาศสีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและตลาดไม้ดอก และดอกของเบญจมาศที่ปลูกกันอยู่จะมี 3 ขนาด คือ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ตนจะปลูกทั้ง 3 ขนาดเลย ต่อมาเห็นว่ารายได้ดี จึงเลิกทำนา แล้วหันมาปลูกดอกเบญจมาศขายเพียงอย่างเดียว ส่วนที่นาบางส่วนก็ให้ญาติพี่น้องทำ

เมื่อหันมาปลูกดอกไม้ขายอย่างจริงจังก็สามารถสร้างรายได้ดีกว่าการทำนามาก แรงงานก็ไม่ต้องจ้าง เพราะทำกันเองภายในครอบครัว แม้จะลงทุนสูงแต่ก็คุ้มค่า เพราะว่ารายได้ต่อเดือน ประมาณเดือนละ 120,000 บาท หลังจากหักต้นทุนผลผลิตแล้ว ก็จะเหลือเงินเก็บประมาณเดือนละ 80,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ถ้าหากมีแรงสู้และแรงงานมีเพียงพอก็คงปลูกเพิ่มอีกหลายไร่ แต่ก็คงไม่ไหว แค่ 4 ไร่ นี้ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว สำหรับการปลูกดอกเบญจมาศ ตนและเพื่อนบ้านจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม พอถึงเดือนตุลาคม จะเริ่มออกดอก และสามารถตัดขายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนเมษายน พอเดือนพฤษภาคม ก็เตรียมปลูกใหม่ ทั้งไถพรวนดิน เตรียมแปลง เพาะปลูก เรียกว่าทำกันทั้งปีเลยทีเดียว สำหรับตนแล้วจะปลูกทดแทนไปเรื่อยๆ เก็บตัดแปลงนี้หมดก็จะปลูกใหม่ทันที เรียกว่ามีขายทั้งปีกันเลยทีเดียว

ดูแลอย่างดี
ดูแลอย่างดี

คุณบัวคำ เล่าว่า สำหรับแม่พันธุ์นั้น ครั้งแรกตนจะสั่งซื้อแม่พันธุ์ที่เขาชำไว้แล้วมาปลูก โดยลงทุนซื้อแม่พันธุ์ครั้งแรกประมาณ 30,000 บาท ในปีต่อๆ มา จึงทำการคัดเลือกแม่พันธุ์เอง การทำสวนดอกไม้นี้ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับสวนและได้ผลตอบแทนเกินคาด สำหรับดอกเบญจมาศที่ตนปลูกจะออกดอกช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนเมษายน ของทุกปี พันธุ์ที่ตนปลูกนี้ ขาวญี่ปุ่น ขาวปิงปอง จะดูแลยากสักหน่อย ส่วนเหลืองเรวดี เหลืองขมิ้น จะดูแลง่าย ทั้งนี้ เราต้องมีความรู้ตั้งแต่การเตรียมการปลูก การเตรียมพันธุ์ ขยายพันธุ์ปลูก และการเตรียมแปลงชำรากดอกเบญจมาศ จึงจะประสบความสำเร็จและเก็บเกี่ยวได้ผล ซึ่งมีวิธีการดังนี้

  1. เตรียมแปลง ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาวประมาณ 20-30 เมตร หรือตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยทำเป็นกระบะไม้ยกสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
  2. ผสมดินสำหรับชำราก ใช้ทราย 1 ส่วน ดินร่วน 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักรองพื้นแปลงไว้ให้มีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร รดน้ำพอชุ่ม เริ่มชำได้ทันที
  3. แปลงกระบะชำรากต้องอยู่ในโรงเรือน แล้วติดหลอดไฟตูม แรงเทียน 100 วัตต์ ประมาณ 3-5 หลอดเพื่อกกไฟให้กับต้นอ่อน ส่วนการดูแลรักษารากชำเบญจมาศนั้นก็ให้ทำตามขั้นตอน ถ้าจะบอกไปคงจะยาวพอสมควร เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ให้มาพบตนที่สวนได้ทุกวัน ยินดีที่จะอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษาให้แบบฟรีๆ ที่สำคัญ เมื่อดูแลต่อเนื่องประมาณ 15 วัน ต้องย้ายต้นอ่อนลงปลูกตามปกติต่อไป หากเกินอายุ 15 วันไปแล้ว จะทำให้ดูแลยาก และการปลูกนั้นต้องปลูกให้ถูกวิธี ซึ่งตนไม่ขอกล่าวในที่นี้ รวมทั้งการดูแล การให้น้ำ การเด็ดยอดเพื่อให้ต้นแตกกิ่งข้างมากขึ้น การปลิดดอกข้างเพื่อให้ดอกเบญจมาศมีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ตามความต้องการ และการเพิ่มแสงไฟ สิ่งเหล่านี้เราต้องศึกษาให้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง
ต้นยังเล็ก
ต้นยังเล็ก

คุณบัวคำ บอกว่า หลังปลูกได้ 7 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 30 กิโลกรัม ต่อแปลง โดยโรยตรงร่องระหว่างแถวของต้น แล้วเริ่มให้ไฟวันละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 22.00-02.00 น. ต่อเนื่อง 25 วัน เมื่อดอกเบญจมาศมีอายุได้ 15 วัน ให้พรวนดิน แล้วใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 ประมาณแปลงละ 0.5 กิโลกรัม เพื่อเร่งรากและใบ และเมื่อดอกเบญจมาศอายุครบ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 อีกครั้ง ในอัตราเท่าเดิม เมื่อดอกเบญจมาศครบ 60 วัน ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อแปลง จากนั้นเริ่มตกแต่งตาดอก คือเด็ดก้านดอกข้างลำต้นให้เหลือตรงปลาย 4-5 ดอก และเด็ดดอกตรงกลางด้วยเพราะดอกกลางจะบานก่อนเพื่อน หลังจากแต่งตาดอก 25 วัน ดอกไม้จะเริ่มแย้มและบานพร้อมกันทั้งหมดใน 30 วัน สามารถทยอยเก็บดอกไม้เริ่มจำหน่ายได้เรื่อยๆ แล้วแต่ความสมบูรณ์ของดอก แต่โดยรวมแล้วดอกเบญจมาศต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 วัน จะได้ดอกเบญจมาศที่สวย สมบูรณ์ และก้านตรง ตรงตามความต้องการของตลาด ตลอดช่วงเวลาที่ดอกเบญจมาศเจริญเติบโต เลื่อนตาข่ายขึ้นเสมอตามความสูงของดอกไม้ ให้รักษาระดับที่ใต้ก้านดอก 20-25 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ดอกเบญจมาศที่สวยงาม

การเก็บเกี่ยวดอกเบญจมาศ ต้องตัดดอกให้ห่างโคนต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นจึงไปปรับขนาดของก้านดอกตามความต้องการของตลาด แต่โดยรวมทั้งหมด ขนาดของก้านต้องไม่ยาวเกิน 60 เซนติเมตร ส่วนโรครบกวนนั้นก็มีบ้าง อย่างเช่นที่เขาเรียกโรคราน้ำค้าง โรคราสนิม และพวกแมลงต่างๆ หนอนกระทู้ หนอนแก้ว เพลี้ยต่างๆ และเพลี้ยไฟ เราก็ต้องเรียนรู้การป้องกันและการกำจัด ที่สำคัญอ่านคำแนะนำบนฉลากของยาแต่ละชนิดให้เข้าใจ และป้องกันตัวเองเรื่องการแพ้สารเคมีด้วย

เตรียมส่งจำหน่าย
เตรียมส่งจำหน่าย

ในตอนท้าย คุณบัวคำ บอกว่า ตลาดรองรับดอกไม้ของตนนั้นคือ ตลาดสดอำเภอวารินชำราบ ตลาดเทศบาล 1 ในเมืองอุบลราชธานี ช่วงแรกๆ ต้องนำไปวางขายเอง แต่ในปัจจุบัน แม่ค้าคนกลางจะมารับซื้อถึงสวน โดยเราจะทำเป็นมัด มัดละไม่เกิน 20 ดอก แล้วชั่งกิโลขาย ในราคากิโลกรัมละ 70-80 บาท บางทีมีคนมาเหมาที่สวนเป็นจำนวนมากๆ ก็จะชั่งกิโลขายเลย ไม่ต้องมัด และยังมีลูกค้าจากจังหวัดใกล้เคียง ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด มาสั่งซื้อคราวละมากๆ และมารับถึงสวน จนเป็นขาประจำกันไปแล้วก็หลายราย ทำให้ปัญหาเรื่องตลาดจำหน่ายหมดไป สร้างรายได้เดือนละ 100,000 บาท อย่างสบายๆ เพื่อนบ้านบางคนปลูกหลายไร่ก็ยิ่งมีกำไรมากกว่าตนขึ้นไปอีก และในแต่ละปีจะมีช่วงที่ขายดีที่สุดคือ ช่วงออกพรรษา ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลลอยกระทง จนถึงวันวาเลนไทน์ เรียกว่าตลอดฤดูหนาว รายได้จะดีมากและยังมีคณะทัวร์จากต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมแปลงดอกไม้ในหมู่บ้านของเรากันมากในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทำให้ดอกไม้ขายดีตามไปด้วย

 

ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (090) 046-2710