“เพชรหึง” กล้วยไม้ยักษ์ ที่กลางดง ปากช่อง

“เพชรหึง” (Grammatophyllum speciosum) เป็นชื่อของพืชไม้ดอกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะต้นและดอกเหมือนกล้วยไม้จึงถูกขนานนามอีกหลายชื่อ อย่าง กล้วยไม้ยักษ์ กล้วยไม้เสือโคร่ง ฯลฯ แล้วยังได้จัดให้เป็นราชินีแห่งกล้วยไม้ เพราะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก                  

พร้อมกับยังมีสรรพคุณทางยาหลายด้าน แต่ที่เด่นชัดสามารถใช้เป็นยาแก้พิษแมลงกัดต่อยได้ จึงมักเรียกว่า “ว่านเพชรหึง” โดยมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นอื่นๆ ว่า กล้วยกา, กะดำพะนาย, ตับตาน, ว่านหางช้าง, ว่านงูเหลือม และเอื้องพร้าว เป็นต้น สามารถพบได้ตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทางภาคใต้ ซึ่งมักเกาะอาศัยอยู่บนยอดพันธุ์ไม้ใหญ่

ลักษณะทางธรรมชาติของเพชรหึงเป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอ มีระบบรากอากาศ และมีลำต้นสูงถึงกว่า 3 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันบนลำต้น ใบกว้างราว 3 เซนติเมตร ยาวราว 60 เซนติเมตร ใบอ่อน โค้งลงด้านล่าง ดอกออกราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน โดยจะออกดอกตามบริเวณยอด ครั้งละ 2-3 ช่อ และดอกจะทยอยบานติดต่อกันนานถึง 3 เดือน

ออกดอกราวเดือนมิถุนายน

ช่อดอกมีทั้งชนิดช่อตั้งและช่อห้อย แต่ละช่ออาจยาวได้ 1.5-2 เมตร ก้านดอกยาว 15-30 เซนติเมตร ดอกหนามีพื้นกลีบสีเหลืองหรือเหลืองอมเขียวแต้มน้ำตาลหรือม่วงคล้ายกับลวดลายของเสือ เป็นกล้วยไม้ที่ชอบแสงแดดค่อนข้างมาก (แต่ไม่จัดมากนัก) ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ

กล้วยไม้เพชรหึง เป็นพันธุ์ไม้ที่หาดูได้ยากเนื่องจากต้องใช้เวลาปลูกนานเป็นสิบปีกว่าจะมีดอกให้เชยชม แล้วจะออกดอกเพียง 3 เดือน ต่อปี ด้วยเหตุนี้ผู้เลี้ยงจึงต้องมีความอดทนสูงและต้องใช้ทุนไม่น้อย ดังนั้น จึงได้มีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อขยายพันธุ์สำหรับนำไปปลูกเพื่อตัดดอกขายในเชิงการค้า และใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้

คุณอัครินทร์ ทองจรัส หรือ คุณกลาง อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ที่ 4 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีความสนใจเรื่องว่านเพชรหึงเพราะมีให้เห็นในบริเวณพื้นที่ใกล้บ้านพักที่อยู่ชายเขา จะร่วงอยู่ตามพื้นในป่า ความต้องการอยากรู้จึงเก็บมาศึกษา เพราะมองว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติของพรรณไม้ จนเกิดความสวยงามและน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นกล้วยไม้ยักษ์

คุณอัครินทร์ ทองจรัส หรือคุณกลาง

คุณกลาง ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ชนิดนี้มาก่อนเลยจึงใช้วิธีปลูกจากคำแนะนำของชาวบ้านที่บอกข้อมูลต่างๆ นานา ไม่ว่าจะให้ขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอบ้าง หรือชาวบ้านทางใต้บอกว่าอย่าแยกกอเพราะอาจตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้เกิดความสับสนว่าวิธีใดเหมาะสมและถูกต้อง

จนในที่สุดคุณกลางประสบความสำเร็จจากการปลูกกล้วยไม้พันธุ์นี้โดยตกผลึกวิธีเลี้ยงด้วยการแยกจากกอใหญ่แล้วนำไปเลี้ยงต่อจนรอดมานานกว่า 16 ปี กระทั่งเพิ่งมีดอกออกให้เห็นเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา

เพชรหึงที่คุณกลางปลูกในกระถางใช้วัสดุปลูกหลักเป็นถ่านหุงต้มจำนวน 3-4 กระสอบ จะใช้ปุ๋ยละลายช้าจำนวน 1 ช้อนแกง ผสมน้ำแล้วฉีดพ่น แต่ไม่บ่อยนัก นอกจากนั้น อาจเป็นปุ๋ยสูตรเสมอในบางคราวด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณกลางบอกว่าไม่เน้นการให้ปุ๋ยเนื่องจากเป็นพันธุ์กล้วยไม้ทางธรรมชาติ แต่จะเน้นการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอมากกว่า

“จะรดน้ำทุก 3 วันในช่วงที่มีอากาศปกติ เพราะโดยธรรมชาติแล้วกล้วยไม้พันธุ์นี้จะเกาะติดและอาศัยอยู่บนยอดไม้ขนาดใหญ่ในป่าจึงได้รับน้ำจากธรรมชาติและความชื้นในป่าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วิธีรดน้ำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญระบุว่าก่อนเลี้ยงควรปรับสภาพแวดล้อมบริเวณที่ต้องการเลี้ยงให้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดแล้วค่อยนำมาเลี้ยง”

ปัจจุบันคุณกลางปลูกเพชรหึงไว้จำนวนกว่า 60 กระถาง มีทั้งต้นเก่า-ใหม่ และเมื่อใดที่เห็นว่ากอแน่นเกินไป จะจัดการแยกกอเพื่อให้ต้นเพชรหึงมีความสมบูรณ์เต็มที่แล้วไม่โทรมเร็ว เพราะถ้าปล่อยให้กอแน่นไปนานๆ จะมีผลเสียต่อการออกดอกช้าและได้จำนวนไม่มาก

การปลูกจะตั้งวางต้นอย่างไรก็ได้

ขณะเดียวกัน ต้นไหนที่ต้องการให้มีดอกจะเลี้ยงแยกไว้ แล้วจะตั้งวางตำแหน่งที่แน่นอนโดยไม่ขยับ แล้วปลูกเลี้ยงจนมีดอก ส่วนต้นไหนที่ไม่ตั้งใจจะดูดอกก็จะแยกกอออกมาเลี้ยงเป็นต้นใหม่ ทั้งนี้ กล้วยไม้ยักษ์ชอบอยู่กลางแดด ระยะห่างระหว่างต้นไม่จำกัด เพียงแต่อย่าให้เบียดกันเพราะต้องเผื่อให้ต้นแผ่กิ่งออกไปด้านข้าง

นอกจากการปลูกเลี้ยงในกระถางแล้ว ยังสามารถนำไม้หมอนรถไฟมากั้นเป็นคอกสี่เหลี่ยมใส่ถ่านดำรองด้านล่าง เนื่องจากคุณสมบัติของไม้หมอน กับถ่านดำที่สามารถเก็บความชื้นไว้อย่างดีจะช่วยให้ต้นเพชรหึงมีความสวยงามแล้วให้ดอกที่สมบูรณ์ด้วย ซึ่งแนวทางนี้ต้องลงทุนมากจึงเหมาะกับการแต่งสวนตามโรงแรม รีสอร์ต หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่กลางแจ้งและมีพื้นที่กว้างใหญ่

จากเวลานับสิบปีที่คุณกลางต้องใช้ความอดทนปลูกต้นเพชรหึงหรือกล้วยไม้ยักษ์มาจนเพิ่งได้เชยชมดอกเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เขาบอกว่าหลังจากที่เริ่มให้ดอกครั้งแรกแล้วจะมีดอกให้ทุกๆ ปีในช่วงเดือนพฤษภาคมแล้วอยู่ได้นานถึง 3 เดือน ส่วนจำนวนดอกมีมาก-น้อยขึ้นอยู่กับว่าในช่วงที่ปลูกได้ดูแลเอาใจใส่ดีมาก-น้อยเพียงใด ขณะเดียวกัน สภาพอากาศในแต่ละปียังมีผลต่อการออกดอกด้วย

ถึงตอนนี้เขาเห็นว่ามีจำนวนกล้วยไม้เพชรหึงมากเพียงพอแก่ความต้องการแล้ว รวมถึงยังมีความภูมิใจที่ตัวเองสามารถทำได้สำเร็จจากที่เคยถูกดูแคลนแม้จะต้องอดทนรอเวลานานเป็นสิบปีก็ตาม

ฉะนั้น หากใครสนใจต้องการจะมีกล้วยไม้ยักษ์ชนิดนี้ไว้เป็นเจ้าของ คุณกลางยินดีจำหน่ายแต่ต้องยกไปทั้งกอใหญ่ เพราะคงแยกไม่ได้เดี๋ยวตาย ทั้งนี้ กำหนดราคาขายว่าหากยังไม่เคยมีดอกขายราคาเริ่มต้นที่ 10,000 บาท แต่ในกรณีที่ต้นเคยออกดอกมาแล้วราคาจะเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ เพราะเมื่อนำไปปลูกต่อแล้วสามารถให้ดอกได้ทุกปี

ออกดอกตามบริเวณยอด ครั้งละ 2 3 ช่อ

สำหรับตลาดนักเล่นต้นเพชรหึงมีหลายกลุ่ม ทั้งนิยมปลูกเลี้ยงเป็นความเชื่อทางด้านโชคลาภ กับอีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มุ่งขายดอก ส่วนอีกแบบหนึ่งได้ยินมาว่าสามารถนำดอกไปสกัดเป็นสมุนไพรได้

คุณกลางไม่เพียงประสบความสำเร็จจากการปลูกกล้วยไม้ยักษ์เพชรหึงเท่านั้น แต่พื้นที่จำนวนทั้งหมด 20 กว่าไร่ ที่ใช้ชื่อว่า “ไร่จรัสแสง” ยังถูกแบ่งออกเป็นอาชีพเพาะ-ขยายพันธุ์พืชไม้ผลชนิดอื่น อย่างทับทิมที่มีชื่อเสียงโด่งดังคือ “ทับทิมจรัสแสง” ที่ขายทั้งผลสด ต้นพันธุ์ พร้อมกับการแปรรูปเป็นน้ำทับทิมด้วย แล้วยังมีต้นจันทน์ผา จำนวน 400 ต้น ลิ้นจี่พันธุ์สำเภาแก้วจำนวน 30 กว่าต้น

“ในพื้นที่ของตำบลกลางดงสามารถปลูกกล้วยไม้เพชรหึงแล้วให้ดอกได้อย่างไม่ยาก เพราะตามสภาพพื้นที่ที่อยู่ในระดับกลางๆ คือไม่เหนือและไม่ใต้ อีกทั้งความสมบูรณ์ของป่าและธรรมชาติในเขตนี้เอื้อต่อการปลูกกล้วยไม้ยักษ์ชนิดนี้อย่างดี” คุณกลาง กล่าวทิ้งท้าย

ท่านใดที่เป็นนักเล่นกล้วยไม้ และชอบสะสมกล้วยไม้แปลกหายาก หากสนใจกล้วยไม้ยักษ์ “เพชรหึง” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณกลาง โทรศัพท์ 080-980-6189 แล้วอาจแถมพ่วงอุดหนุนไม้ผลชนิดอื่นที่ปลูกด้วยคุณภาพในไร่จรัสแสง อีกก็ได้ไม่ว่ากัน

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกวันพฤหัสที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561