ไม้กระถางนางคุ้ม ว่านมงคล ปลูกประดับให้สวย ต้องเข้าใจธรรมชาติของเขาด้วย

เมื่อร่วมสิบปีที่แล้วได้เขียนบทความเรื่อง ว่านนางคุ้ม ตัดดอกเชิงการค้า : คุ้มหรือไม่คุ้ม! ลงในเทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ฉบับที่ 433 เพื่อเล่าประสบการณ์ที่ตั้งใจจะทำช่อดอกว่านนางคุ้มแบบไม้ตัดดอก แต่ได้สรุปเล่าหรือบันทึกไว้ว่า ไม่คุ้มครับ

ด้วยฝนหลังสงกรานต์ ไม้หัวประเภทต่างๆ เช่น ว่านสี่ทิศสีสันต่างๆ ทั้งพันธุ์ในและนอกประเทศ ว่านนางคุ้ม และอื่นๆ กำลังแทงช่อทะลุทะลวงดินโผล่ชูก้านช่อแล้วเริ่มบานหรือกำลังจะบานอย่างสวยงาม หลังจากที่ได้ทิ้งใบไปตามธรรมชาติ หลังหมดฝนเข้าหนาวปีที่แล้ว เห็นช่อนางคุ้มกำลังแทงช่อยังไม่แจกดอกบานออกมาที่ใต้ต้นลำดวนที่บ้าน ทำให้นึกถึงศักยภาพของเขาที่ควรจะมีการพัฒนาสายพันธุ์ คัดฟอร์มดอก ความแน่นช่อดอก จำนวนดอก ฯลฯ เพื่อการค้า สำหรับทำไม้กระถาง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีใครเหลียวแลมาวิจัยหาข้อมูลเพื่อส่งเสริมพี่น้องชาวสวนไม้ดอกไม้ประดับเรา ทั้งๆ ที่ศักยภาพในเชิงการทำตลาดไม้กระถางเพื่อใช้จัดสวนหนึ่ง หรือประดับในอาคารหนึ่ง ของว่านนางคุ้มนี้มหาศาลครับ

อีกทั้งในอดีต เมื่อไปตามสถานที่ที่มีการจัดสวน หรือโรงแรมที่พักที่มีการปลูกประดับสวนหย่อม หรือใส่กระถางตั้งโชว์ซึ่งมีพบน้อยมาก เมื่อถามเจ้าของหรือคนดูแล น้อยรายที่รู้จักแม้เพียงชื่อของเขา ที่ร้ายกว่านั้นคือ ไม่รู้จักธรรมชาติของเขา ว่าเมื่อหมดฝนเข้าฤดูหนาว (แม้เป็นภาคกลางหรือใต้ ที่ไม่หนาว) เขาต้องการพักตัว นั่นคือห้ามรดน้ำ ต้องปล่อยให้ต้นและใบแห้งเหี่ยว (เหมือนตาย) ไป นั่นคือนับจากต้นพฤศจิกายน ถึงสิ้นมีนาคมรวม 5 เดือน เขาจะพักตัวอยู่ในดินหรือในกระถาง โดยต้องไม่รดน้ำให้เขาเลย

จึงถือโอกาสปัดฝุ่นบทความเดิมบางส่วนนำมาเรียบเรียงใหม่ เป็นความรู้พื้นฐานให้พี่น้องชาวสวนเราพัฒนามาขายเป็นไม้กระถาง และผู้สนใจปลูกทั่วๆ ไปได้รู้จักเขาแล้วดูแลเขาอย่างถูกต้อง เพราะถ้าไม่ปล่อยให้เขาได้ยุบต้นพักตัว คือไปรดน้ำประจำไปเรื่อยๆ เราก็ได้ว่านนางคุ้มพันธุ์ใบเขียวให้เราดูทั้งปี อาจจะฟลุคหลุดมีดอกมาให้ดูบ้างก็จะไม่สมบูรณ์ หรือไปรดน้ำแฉะๆ ตอนช่วงหนาวที่เขาพักตัวอยู่ก็เสี่ยงหัวเน่าตายไปเสียอีก เป็นต้น ว่านนางคุ้มหรือบางท้องที่เรียก ผู้เฒ่าเฝ้าเรือน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eurycle emboinensis ถือเป็นว่านมงคลที่เราจะพบเห็นตามบ้านทั่วๆ ไปปลูกไว้ในกระถางบ้านละ 1-2 กระถาง ถ้าใครไม่เข้าใจธรรมชาติของเขาก็จะได้เห็นแต่ใบหรือนานๆ จะออกดอกมาให้เห็นสักที ด้วยธรรมชาติของเขาซึ่งอยู่ในป่าแล้งขึ้นอยู่ในที่ร่มรำไรใต้ต้นไม้ใหญ่ หน้าแล้งใบจะแห้งเหลือแต่หัวลักษณะคล้ายหอมหัวใหญ่ฝังตัวอยู่ใต้ดิน

เมื่อฝนแรกหรือฝนสงกรานต์มา หัวที่โตได้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้วขึ้นไป ก็จะแทงช่อดอกนำขึ้นมาก่อน ส่งก้านดอกชูยาวขึ้นเหนือดินประมาณ 1 ฟุตขึ้นไป แล้วจึงแตกดอกย่อยที่ค่อยคลี่บานทีละดอก ดอกจะมีสีขาวบริสุทธิ์ อับเกสรจะมีสีเหลือง จำนวนดอกใน 1 ช่อ จะมีประมาณ 10 ดอกขึ้นไป ดอกมีกลิ่นเล็กน้อยจนเรียกได้ว่าไม่มีกลิ่นหอม เมื่อนับจากดอกแรกเริ่มบาน ช่อดอกจะทนนานอยู่ได้ 5-7 วัน อย่างสวยสง่า

ปกติถ้าเราไปเดินตามแหล่งขายไม้ดอกไม้ประดับจะพบเห็นมีต้นว่านนางคุ้มใส่กระถางขาย ถ้าที่ตลาดคำเที่ยง เชียงใหม่ ราคาขายปลีกสมัยก่อนอยู่ที่กระถางละ 40-50 บาท (ปัจจุบันไม่ทราบและไม่ค่อยพบว่ามีคนทำในเชิงปริมาณมาส่งขายครับ) พบว่าในบางท้องที่ที่ไม่ค่อยมีของแม่ค้าจะเรียกราคาแพง กระถาง 1 ต้นเล็กๆ เรียกกันเป็นร้อยบาท เช่น ที่หาดใหญ่ที่ผู้เขียนเดินสำรวจเมื่อประมาณ 13 ปีก่อน ที่กรุงพนมเปญพบมีปลูกใส่กระถางตามบ้านอยู่เหมือนกัน ตอนผมไปทำงานวิจัยเรื่องวัวนมที่ประเทศเขมรเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่บ้านของลุงแกวซุน ผู้นำหรือประธานกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมมีปลูกต้นเล็กๆ อยู่หนึ่งกระถางแต่เห็นว่าเป็นของหายากและลุงแกว่าชาวเขมรเชื่อว่ามีต้นนางคุ้มปลูกที่บ้านจะป้องกันคุ้มครองไม่ให้ไฟไหม้บ้าน และว่าไม่มีวางขายกัน อีกทั้งเชื่อกันว่าต้องไปลัก (ขโมย) เขามา จึงจะศักดิ์สิทธิ์

เลยเล่าให้แกฟังว่าที่บ้านผมมีปลูกอยู่หลายพันต้น มาเที่ยวหน้าจะเอามาฝากสักหลายต้น ลุงแกยิ้มๆ คงคิดว่าไอ้คนไทยนี่ขี้โม้จังเว้ย เข้าเขมรเที่ยวถัดมาบังเอิญเป็นต้นเดือนพฤษภาคม เลยขุดเอาหัวนางคุ้มที่เพิ่งแทงช่อออกมาสักคืบล้างรากห่อกระดาษใส่ถุงหิ้วไปฝากลุงแก 7 หัว แกดีใจมากขอบอกขอบใจใหญ่

 

ปลูกขายหัวเชิงการค้าได้หรือ?

ความคิดในการปลูกว่านนางคุ้มเชิงการค้าของผู้เขียนเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เมื่อทราบว่าได้มีนักกล้วยไม้ที่เชียงใหม่ได้ปลูกหัวว่านนางคุ้มเพื่อส่งออกไปตลาดญี่ปุ่น ได้ราคาหัวละ 1 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 25 บาทช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ ก็ได้ตรวจสอบกับพรรคพวกที่ค้ากล้วยไม้อยู่ที่ตลาดนัดจตุจักร และแม่ค้าไม้ป่าจำพวกหัวว่านต่างๆ จากปราจีนบุรีพบว่า สามารถสั่งซื้อหัวที่ขุดจากป่าได้ในราคาหัวละ 3-5 บาทถ้าสั่งเป็นร้อย (20 ปีก่อนแล้วนะครับ) แต่ขนาดหัวประมาณ 1 นิ้วเศษ ถึง 2 นิ้ว และไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าถ้าปลูกครบรอบปีแล้วหัวของเขาจะใหญ่ขึ้นถึง 3 นิ้ว หรือ 3 นิ้วขึ้นไปหรือไม่

สุดท้ายผู้เขียนได้แหล่งที่มีผู้นำเข้าผ่านด่านชายแดนพม่า ที่อำเภอเชียงดาว เข้ามาขายให้เลยลองปลูกดูโดยอาศัยสมมุติฐานว่าเขาขึ้นในป่าใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้อยู่ในทุ่งโล่ง และต้นนางคุ้มที่เคยปลูกอยู่กลางแดดไม่มีอะไรบังใบของเขาจะไหม้แดด จึงปลูกใต้ร่มสวนมะม่วงหลังบ้านโดยยกแปลงยาวเป็นแถวเหมือนปลูกผัก อยู่ระหว่างแถวต้นมะม่วง ความลึกหลุมปลูกประมาณ 3-4 นิ้ว ระยะห่างระหว่างหลุมประมาณคืบใหญ่ๆ ใช้ปุ๋ยขี้ไก่ (ไก่กระทง) โรยหน้าดินหลังปลูก ช่วงที่ปลูกเป็นฤดูแล้งประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งหัวนางคุ้มกำลังพักตัวตามความแห้งแล้งจากป่า

หลังสงกรานต์เมื่อฝนตกพบว่าส่วนใหญ่จะแทงขึ้นมาเป็นใบ มีจำนวนน้อยที่แทงครั้งแรกเป็นดอกด้วยหัวที่ปลูกส่วนใหญ่ขนาดประมาณ 1-2 นิ้ว ตลอดฤดูปลูกไม่ได้ให้ปุ๋ยหรือฉีดยาอะไรเพิ่มเลยปล่อยให้เทวดาเลี้ยงเหมือนในป่า วัชพืชขึ้นรุกเร็วมาก ในปีแรกนี้ได้จ้างแรงงานชาวบ้าน 2 ผัวเมียมาถางหญ้าและถอนวัชพืชส่วนใต้โคนต้น จำนวนหัวที่ปลูกประมาณ 2,000 กว่าหัวในเบื้องต้น พื้นที่ปลูกรวมๆ น่าจะประมาณสัก 2 งาน

ปีแรกผ่านไป เข้าเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ถ้ามีออเดอร์ก็จะได้ขุดขึ้นมานับหัววัดขนาดกันล่ะ แต่ปรากฏว่าไม่รู้จะขายใคร ถามไถ่พรรคพวกในวงการกล้วยไม้ก็ไม่ได้เรื่อง เลยไม่ได้ขุด หลังสงกรานต์ฝนมา ได้เห็นความงามของช่อนางคุ้มหลายร้อยช่อดูขาวละลานตาไปทั้งแปลง ก็ทำให้มีความปีติสุขตื่นตาตื่นใจกับเขาอยู่มาก

ปีที่ 2 โชคดีที่คุณบรรจงนักกล้วยไม้รุ่นพี่ที่ไปทำธุรกิจขายกล้วยไม้ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ได้ช่วยสั่งซื้อ ให้เพื่อนชาวอเมริกันที่ทำ potplant หรือไม้กระถางขายโดยให้ออเดอร์ 1,000 หัว ในราคาหัวละ 1 เหรียญ (35 บาท) โดยกำหนดสเปกเหมือนที่มีคนส่งขายญี่ปุ่นว่าหัวนางคุ้มใหญ่กว่าหรือใส่ท่อน้ำพลาสติกขนาด 3 นิ้วไม่เข้า นั่นคืออย่างต่ำเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียง 3 นิ้ว ขายได้อยู่ 1 ล็อตแล้วเงียบหายไป รับทราบจากพี่บรรจงว่าพอดอกบานแล้วที่เหลือทั้งปีมีแต่ใบคงขายยาก หรือผู้เขียนคิดเองว่าในปริมาณที่เขาสั่งไป ถ้าปีแรกขายได้น้อยหัว ส่วนที่เหลือเมื่อโตขนาด 3 นิ้วขึ้นไปก็จะแบ่งหัวจาก 1 เป็น 2 เหมือนหอมใหญ่ ก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณในสต๊อกของเขาเอง การไม่มีออเดอร์ซ้ำอย่างน้อยแสดงว่าเขาคงมีปัญหาการขายระดับหนึ่ง

เท่าที่ทราบสำหรับตลาดญี่ปุ่นจะนำเข้าไปญี่ปุ่นในช่วงเดือนมกราคม นั่นคือพอใบและต้นเริ่มแห้งยุบตัว เขาจะให้ขุดส่งเขาทันที ในญี่ปุ่นเขาจะแพ็กหัวใส่ถุงตาข่ายขายให้ชาวญี่ปุ่นซื้อหัวไปปลูกเอง ความจริงนี่จึงน่าจะเป็นตลาดที่ถูกต้องกว่า แต่ต้องยอมรับว่าผู้เขียนขาดความกระตือรือร้นและไม่คล่องตัวในการหาตลาดญี่ปุ่นหรือเจรจากับผู้ส่งออกคนกลางเอง

ประมาณ 2 ปีให้หลัง มีลูกศิษย์ที่ไปทำงานจัดสวนในโรงแรมและรีสอร์ตที่เกาะสมุย ซึ่งทราบว่าผู้เขียนมีว่านนางคุ้มอยู่ ได้ขอซื้อไป 1,000 หัว ไปใช้จัดสวนในสนนราคาที่ย่อมลงไปกว่าที่ขายชุดแรก

ในการขุดขายครั้งแรกใช้แรงงานคน 3-4 คน ขุดและขนมากองในโรง เมื่อคัดแยกนับจำนวนหัวที่จะส่ง 1,000 หัวออกแล้ว ที่เหลือได้แบ่งปลูกใหม่เป็น 2 กลุ่ม นั่นคือกลุ่มหัวใหญ่ที่เหลือปลูกแถบหนึ่งและกลุ่มหัวเล็กๆ (ที่เกิดจากการแบ่งหัวจากหัวใหญ่โดยธรรมชาติและหัวที่เกิดจากเมล็ดที่ดอกถูกผสมพันธุ์ตกบนดิน งอกใหม่เป็นหัวเดี่ยวๆ ขนาดเล็กกว่าหัวแม่มือ) เมื่อคิดค่าแรงที่ขุดหัวและขึ้นแปลงปลูกใหม่แล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 15% ของราคาขายครั้งแรก

 

การปลูกขายเป็นไม้กระถาง        

อย่างไรก็ตาม การปลูกว่านนางคุ้มทำขายเป็นไม้กระถาง ถ้าต้องการทำปริมาณหรือต้องการคุมปริมาณที่จะส่งในช่วงต้นเมษายนที่เริ่มแทงช่อดอกปริ่มๆ ออกมา ก็ควรจะปลูกเป็นแปลงใหญ่แบบยกร่อง ระหว่างแถวไม้ผล หรือปลูกใต้ซาแรนไปเลย เพื่อให้เขาโตสมบูรณ์ใบไม่ไหม้แดด การที่ดูแลรักษาต้นให้สวยสมบูรณ์ ทั้งนี้ เผื่อไว้ขุดต้นช่วงใบงามๆ หน้าฝนใส่กระถางขายเป็นไม้ใบประดับในอาคารได้ กรณีปลูกขายตอนต้นที่มีแต่ใบ ขนาดของหัวจะไม่สำคัญ เพียงแค่ว่าหัวเล็กต้นและใบจะเล็กย่อมลง แต่ถ้าใช้หัวใหญ่ๆ เช่น ขนาด 3 นิ้ว ปลูกลงกระถางช่วงปลายเดือนมีนาคม เริ่มรดน้ำต้นเมษายนไป หลังสงกรานต์เขาจะเริ่มแทงช่อให้เห็น หลังแทงดอกก้านใบก็จะทยอยตามมาไล่ๆ กัน สำหรับพวกหัวใหญ่ 3 นิ้วขึ้นที่ออกดอกนี้ ใบของเขาจะหนาและใหญ่ เขียวสวยมาก เหมาะที่จะปลูกประดับในร่มหรือในห้อง

เพื่อการสรุปให้เป็นระบบ การปลูกหัวว่านในดินเป็นแปลงในเชิงปริมาณ ควรแยกปลูกเป็นขนาดหัวใกล้เคียงกันในแปลงหรือร่องเดียวกัน เช่น หัวขนาด 1 นิ้ว พวกหนึ่ง ขนาด 2 นิ้ว พวกหนึ่ง พวกที่แตกหัวย่อยแบ่งสองแบ่งสามแบบหอมใหญ่พวกหนึ่ง เป็นต้น เมื่อต้นยุบตัวแล้วประมาณธันวาคมหรือต้นมกราคมเราจะได้ขุดเฉพาะกลุ่มหัว 2 นิ้วที่จะโตมาเป็น 3 นิ้ว ขึ้นมาผึ่งในร่มเตรียมจะขายส่งหัว (ถ้ามีตลาด) หรือเตรียมปลูกใส่กระถางในเดือนมีนาคม ไว้รอแทงดอกขาย

เคยมีผู้รู้ให้ความรู้มาว่า ที่ส่วนต้น (ที่มีรากงอกออกมา) ของหัว ถ้าเราเอามีดไปตัดแบ่งเขาแบบผ่าหัวหอม เช่น ผ่า 4 ผ่า 8 เขาจะแตกหัวแตกต้นขึ้นมาใหม่ แต่ผมไม่เคยลองครับ ใครสนใจลอง ผ่าแล้วคงต้องชุบน้ำยาฆ่าเชื้อทั้งแบคทีเรียและราแล้วผึ่งแห้งให้ดีก่อนปลูกนะครับ ในประสบการณ์ที่ผ่านมาเคยเจอหัวที่ต้นถูกทำลายบางส่วนหรือโดนจอบสับใส่โดยบังเอิญ ก็พบว่าแตกหัวใหม่เล็กๆ เป็นกระจุกหลายหัวก็เคยครับ

ถ้าทำต้นจากหัว 3 นิ้วขึ้นใส่กระถาง หลังออกดอกถ้าไม่ได้ขาย หรือทำต้นใส่กระถางขายเป็นไม้ใบช่วงหน้าฝนจากหัวที่เล็กกว่า 3 นิ้วที่ไม่มีดอกถ้าไม่ได้ขาย พอถึงเดือนธันวาคมให้ยกกระถางออกไปวางที่ไม่โดนฝนและงดรดน้ำ ปล่อยให้เขาได้เหี่ยวเฉาแห้งไปตามธรรมชาติของเขา จนถึงช่วงสงกรานต์จึงเริ่มรดน้ำหรือนำมาวางรับฝน หลังได้รับน้ำต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์เขาก็จะเริ่มแทงช่อ โปรดสังเกตที่ปลายช่อดอกที่ต้องดันทะลวงผิวดินขึ้นมาก็มีสีขาวบริสุทธิ์ และได้ส่วนใบที่งอกออกมาใหม่สวยสดใหม่ จะดูสวยน่าซื้อกว่าต้นใบเก่าๆ ที่ปลูกข้ามปีไม่งาม

มีเรื่องที่สำคัญอีกเล็กน้อยที่อยากบันทึกไว้ก่อนจบบทความ นั่นคือเรื่องการหาหรือทำปริมาณหัวเพื่อการปลูกในเชิงการค้าหนึ่ง และการดูเพื่อทราบว่าหัวว่านที่จะซื้อที่เป็นหัวไม่มีใบให้เห็นตอนพักตัว ว่าเขาเป็นนางคุ้มแท้ ไม่ใช่หัวว่าน 4 ทิศ เป็นต้น

การทำปริมาณ วิธีด่วนๆ ถ้าจะเริ่มทำคือหาแหล่งที่มีการขุดจากป่าในลักษณะหัวเล็กๆ คละกัน เรื่องนี้ขอท่านที่สนใจติดต่อคุยกับแม่ค้าที่มาขายต้นไม้ช่วงขายส่งที่ตลาดนัดจตุจักร คืนวันอังคาร-ศุกร์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ขายหัวว่าน แต่ทุกวันนี้วิธีนี้น่าจะยากขึ้น หรือของเขียมขึ้น ส่วนสนนราคาอาจจะต้องเจรจา และหาแหล่งเปรียบเทียบเอาเองนะครับ แนะนำให้ค้นหาในกูเกิ้ลอีกทางหนึ่งด้วย เห็นมีประกาศขายหัวอยู่หลายราย ลองศึกษาติดต่อกันเองดูนะครับ

ในการปลูกหัวนางคุ้มในดินมากๆ ถ้าปล่อยให้เขาออกดอกติดผลมีเมล็ด กลมๆ เขียวๆ ก็จะนำมาปลูกขยายเป็นต้นใหม่ได้ และการปลูกจากเมล็ดนี้แม้จะช้าแต่ก็จะให้ลูกต้นใหม่ที่มีความแตกต่างหลายหลากทางพันธุกรรมมากขึ้น การผสมพันธุ์และขยายพันธุ์ต้นใหม่เพื่อปรับปรุงพันธุ์ ก็ต้องทำผ่านการติดผลเพาะเมล็ดแบบนี้ครับ รายละเอียดข้อมูล ผลที่ได้ ปริมาณที่ให้ต่อต้น หรืออัตราการงอก ฯลฯ ยังไม่เคยพบว่ามีการวิจัยหรือรายงานครับ ท่านที่ทราบกรุณาเผยแพร่ด้วยการเขียนเป็นบทความส่งมาให้กองบรรณาธิการเทคโนโลยีชาวบ้าน เพื่อตีพิมพ์ส่งเสริมได้นะครับ

การทำปริมาณอย่างมืออาชีพที่แท้จริง อยากสนับสนุนให้คุยกับห้องแล็บเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือและมีการทำวิจัยสอนและบริการในเรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชนิดต่างๆ แม้ที่แล็บนั้นไม่เคยทำหัวว่านนางคุ้มก็ให้ลองเอาวิธีและน้ำยาที่เคยรายงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปทำดูได้ (ดูจาก http://agkb.lib.ku.ac.th/ku/search_detail/result/214651)

วิธีนี้เราจะได้หัวนางคุ้มเล็กๆ ในขวดเพาะ ที่จะต้องเอามาปลูกขยายต่อไป คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ถึงจะโตออกดอกได้ ขั้นตอนการออกขวด ปลูกอนุบาล ก่อนไปขยายในแปลง ก็ยังไม่เคยอ่านเจอครับ รบกวนผู้รู้เผยแพร่ด้วยครับ เบื้องต้นอาจจะปลูกอนุบาลในกระบะสี่เหลี่ยมพลาสติกในร่มแล้วให้ปุ๋ยยาแบบกล้วยไม้ดิน เช่น พวกซิมบิเดียม หรือสปาโตกลอสติสไปก่อน ก็ไม่น่าผิดกติกาอันใดครับ

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือก่อนเริ่มปลูก ยังไม่เคยเห็นหัวว่านนางคุ้ม แล้วไปซื้อหัวว่านมา เขาว่าเป็นนางคุ้ม? แล้วเราจะเชื่อ หรือพิสูจน์อย่างไร อันนี้ไม่มีวิธีเรียนลัดครับ คือต้องเห็นหัวว่านนางคุ้มจริงๆ ตอนพักตัวอยู่ ว่าสีเปลีอกที่แห้งดูคล้ายสีกลีบหัวหอมใหญ่ สีออกเหลืองๆ ที่แห้งลอกออกมาหรือล่อนออกมาได้ ลักษณะโดยรวมและความแกร่งแข็งของเขาจะใกล้เคียงหอมหัวใหญ่ ซึ่งเมื่อเทียบกับหัวว่าน 4 ทิศของไทยแล้ว หัวว่าน 4 ทิศจะแกร่งกว่า และเปลือกจะสีขาวออกกระดาษมากกว่า อีกทั้งจะมีคราบดำๆ ตามขอบกลีบใบหุ้มหัวเก่า เป็นต้น ท่านที่จะเริ่มปลูกขอให้ไปศึกษาจากหัวของจริงก่อน ให้รู้จักก่อนซื้อมาปลูกในปริมาณที่มาก เพราะมิเช่นนั้นจะถูกต้มถูกหลอกขาย หรือปนหัวว่าน 4 ทิศราคาถูกๆ ที่ขยายหัว แตกหัวย่อยได้มากต่อปี มาหลอกขายเป็นหัวว่านนางคุ้มได้

ต้องเข้าใจนะครับว่าที่แนะนำมาเป็นการให้แนวทางเฉยๆ เป็นการชี้ทางเฉยๆ ยังไม่ได้ชี้ช่องให้กระโดดกระโจนลงไปเลย ยุคนี้เป็นยุคเกษตร 4.0 ข้อมูลรายละเอียดมีให้รวบรวมศึกษาได้มากแค่เคาะปลายนิ้วหน้าคอมเอา แต่ท่านต้องเอามาประมวลและทำการวิเคราะห์สังเคราะห์เชิงเศรษฐกิจให้ดี อีกทั้งต้องเข้าใจว่าการทำขาย ต้องมืออาชีพ ต้องปลูกต้นสวย ต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ ทำปริมาณได้ และที่สำคัญต้องขายได้ขายเป็น การเป็นชาวสวน กับการเป็นพ่อค้า เป็นอะไรที่เป็นคนละเรื่องกัน แต่ชาวสวนที่สำเร็จก้าวหน้าได้ต้องมีจิตวิญญาณพ่อค้านะครับ

มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า นักการตลาดที่ดีที่เก่ง จะหาตลาดก่อน ดูว่าผู้บริโภคต้องการอะไรในปริมาณที่มาก แล้วเขาจะไปหาวิธีผลิตสินค้านั้นมาขาย แต่นักเกษตรเรา เรียนรู้หรือชอบผลิต ชอบปลูก ชอบเลี้ยง ทำมาแล้วไปวิ่งหาคนมาซื้อ หรือบางครั้งขอช่วยซื้อ นี่คือเกษตร 0.4 ครับ กลับหัวกลับหางวิธีคิดใหม่ก็จะเป็น 4.0 ครับ

ก็บันทึกไว้เป็นข้อมูลและใช้ประโยชน์กันครับ สวัสดี