เบญจมาศ วว.14 สายพันธุ์ใหม่ มีศักยภาพต้านทานโรค แห่งแรกของไทย

เบญจมาศ (Chrysanthemum morifolium) เป็นไม้ตัดดอกที่มีมูลค่าการผลิตติดอันดับ 1 ใน 4 อันดับแรกของไม้ตัดดอกทั่วโลก มียอดการซื้อขายทั่วโลกปีละหลายพันล้านบาท เป็นดอกไม้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยในปี 2550 ญี่ปุ่นนำเข้าดอกเบญจมาศถึง 8,000 ล้านเยน (โครงการฐานข้อมูลการนำเข้าและความนิยมไม้ดอกและไม้ประดับไทยในญี่ปุ่น 2551) สำหรับในประเทศไทยดอกเบญจมาศมีราคาค่อนข้างแพง นิยมปลูกเลี้ยงและใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถปลูกได้ในทุกภาคของประเทศไทย ใช้เป็นไม้ตัดดอก ไม้กระถาง และไม้ปลูกประดับสวน

คุณอนันต์ บุญมี (ซ้าย) ดร.อนันต์ พิริยะภัทรกิจ (ขวา)

คุณอนันต์ บุญมี ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ทางศูนย์ให้การสนับสนุนและส่งเสริมไม้ดอก ได้แก่ การปลูกไม้ดอกเบญจมาศซึ่งเป็นไม้ตัดดอกที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของมูลนิธิโครงการหลวง รวมทั้งพันธุ์ไม้ดอกชนิดอื่นๆ อาทิ ดอกแคลล่าลิลี่ ดอกอะกาแพนทัส และดอกคาร์เนชั่น ปัจจุบันมีการผลิตไม้กระถางด้วย…นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการปลูกพืชผัก ไม้ผล ชา วานิลลา จากการส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ตั้งแต่ปี 2525 สามารถลดพื้นที่การบุกรุกป่าจากอดีตซึ่งเกษตรกรในพื้นที่ส่วนมากจะปลูกกะหล่ำปลีใช้พื้นที่กว่า 333 ไร่ เมื่อทางศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวางได้ส่งเสริมเกษตรกรโดยเปลี่ยนมาปลูกผักในโรงเรือนทำให้สามารถลดพื้นที่เพาะปลูกได้ถึงร้อยละ 80 สร้างรายได้ให้เกษตรกรมากขึ้น จนสามารถเลี้ยงชีพด้วยตนเองได้ในปัจจุบัน

คุณสายันต์ ต้นพานิช รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กล่าวว่า ผลงานการพัฒนาเบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ต้านทานโรค ซึ่ง วว. และเครือข่ายบูรณาการวิจัยสำเร็จในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของ วว. ในการสนับสนุนวงการไม้ดอกไม้ประดับของไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.)

คุณสายันต์ ต้นพานิช รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ

ทั้งนี้ เบญจมาศเป็นไม้ตัดดอกที่มีมูลค่าการผลิตสูง โดยมียอดการซื้อขายทั่วโลกปีละหลายพันล้านบาท สำหรับประเทศไทยสามารถปลูกเบญจมาศในหลายพื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย นนทบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา ยะลา อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย และนครราชสีมา แต่พื้นที่ปลูกก็มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสายพันธุ์เบญจมาศที่ใช้เป็นต้นพันธุ์ดั้งเดิม มีการปลูกเลี้ยงมายาวนาน และใช้พื้นที่ปลูกเดิมแบบซ้ำๆ กันมาหลายปี เป็นสาเหตุทำให้มีการสะสมโรคและแมลงศัตรูพืช รวมทั้งไวรัส ทำให้การผลิตเบญจมาศลดน้อยลง อีกทั้งประเทศไทยไม่มีการพัฒนาเบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด ทำให้ไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคได้

ตัวเบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ที่มีศักยภาพต้านทานโรคแห่งแรกของไทยพร้อมส่งเสริมเกษตรกรปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจหวังลดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์สายพันธุ์ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน/ส่งออกผลผลิตไม้ดอกไม้ประดับไทยในตลาดโลก

 

เบญจมาศ วว.14 ต้านทานโรคราสนิม

ดร.อนันต์ พิริยะภัทรกิจ นักวิจัย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว. กล่าวว่า ผลงานวิจัยการพัฒนาเบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ เป็นการพัฒนากระบวนการกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของเบญจมาศทั้งที่มีอยู่แล้ว และเป็นการเพิ่มจำนวนสายพันธุ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสายพันธุ์สู่ระบบการผลิตไม้ดอกเบญจมาศ รวมทั้งสามารถใช้องค์ความรู้ ประสบการณ์ และทรัพยากรพันธุกรรมจากสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นวัตถุดิบต้นแม่พันธุ์ เพื่อการพัฒนาให้เกิดการกลายพันธุ์และสร้างสายพันธุ์ใหม่ๆ โดยใช้สายพันธุ์ที่นักวิจัยจาก วว. ได้ปรับปรุงพันธุ์มาทดสอบปลูกเลี้ยง จำนวน 30 สายพันธุ์ ณ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง พร้อมทั้งเก็บข้อมูลการเจริญเติบโต ความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งทำการประเมินศักยภาพของสายพันธุ์ ความเหมาะสมทั้งด้านสีสัน รูปทรงดอก และความคงทนของดอก เพื่อที่จะนำไปส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกเลี้ยงไม้ดอก

วว.14 หรือเรียกว่า TISTR Yellow Resist

โดยข้อมูลงานวิจัยพบว่ามีสายพันธุ์เบญจมาศ จำนวน 5 สายพันธุ์ ที่ผ่านการประเมินและได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ค้าไม้ดอก นอกจากนี้ การทดสอบปลูกในพื้นที่ดังกล่าวยังได้สายพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคอีก 1 สายพันธุ์ ทั้งนี้ สายพันธุ์เบญจมาศที่ได้รับการประเมินสามารถพัฒนาและถ่ายทอดสู่เกษตรกรผู้ปลูกเลี้ยงต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ทำการปรับปรุงพันธุ์เบญจมาศด้วยวิธีการใช้สารก่อการกลาย คือ สาร EMS และวิธีการฉายรังสีแกมม่า ซึ่งแนวทางปรับปรุงพันธุ์ทั้ง 2 วิธีดังกล่าว ส่งผลให้สายพันธุ์เบญจมาศเกิดการกลายพันธุ์ในรูปแบบต่างๆ อีกหลากหลายลักษณะ ทั้งนี้ ต้องมีการนำสายพันธุ์ที่กลายมาศึกษาความคงทน สีสันดอก และประเมินความต้องการของกลุ่มเกษตรกรและผู้ค้าต่อไป

ทั้งนี้ จากการปลูกเบญจมาศทั้ง 30 สายพันธุ์ พบว่า มีสายพันธุ์เบญจมาศจำนวน 1 สายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรคราสนิมคือ สายพันธุ์ วว.14 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่พบการเกิดโรคราสนิมที่ต้นเบญจมาศเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ที่เป็นโรค

สภาพภูมิอากาศที่เหมาะในการปลูกเบญจมาศนั้น มีทั้งอากาศหนาวเย็นและอากาศชื้น

ดินที่ใช้ในการปลูกต้องเป็นดินที่มีการปรับปรุงดินอยู่ทุกครั้งก่อนที่จะปลูก

โรคที่พบเจอมากในการทดลองปลูกเบญจมาศคือโรคราสนิม

วว.18 หรือเรียกว่า TISTR Center

การขยายพันธุ์

มีการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและการฉายรังสีแกมม่า เพราะสามารถช่วยในการปรับปรุงพันธุ์ทำให้เกิดลักษณะที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิม เพื่อนำไปพัฒนาและถ่ายทอดแก่เกษตรกร

ขั้นตอนการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ต้านทานโรค

ขั้นตอนที่ 1 ใช้การปักชำต้นกล้า

ขั้นตอนที่ 2 พออายุ 2 สัปดาห์ ก็นำลงในแปลง

ขั้นตอนที่ 3 พออายุ 6 สัปดาห์ โรคระบาดเริ่มมา

ขั้นตอนที่ 4 เริ่มคัดเลือกพันธุ์ที่ติดโรคแล้ว และที่ไม่เป็นโรค

ขั้นตอนที่ 5 ศึกษาและคัดเลือกอีกรอบ

ขั้นตอนที่ 6 เลือกสายพันธุ์ที่ต้านทานโรคได้ดีที่สุดคือ สายพันธุ์ วว.14 หรือ TISTR Yellow Resist มาจากการเพาะเนื้อเยื่อ และยังมีอีก 5 สายพันธุ์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ต้านโรคได้ แต่ไม่เท่า วว.14

วว.6 หรือเรียกว่า TISTR Pink Postel

เบญจมาศ จำนวน 6 สายพันธุ์

คัดมาจาก 30 สายพันธุ์ที่ต้านทานโรคราสนิมได้ดี

  1. วว.6 หรือเรียกว่า TISTR Pink Postel
  2. 2. วว.14 หรือเรียกว่า TISTR Yellow Resist
  3. 3. วว.15 หรือเรียกว่า TISTR Pink loop
  4. วว.17 หรือเรียกว่า TISTR Brick
  5. วว.18 หรือเรียกว่า TISTR Center
  6. 6. วว.21 หรือเรียกว่า TISTR Spray

โดยทั่วไป หลังจากปลูกแล้ว 2 เดือนครึ่งก็สามารถเก็บดอกเบญจมาศได้ ที่สามารถเก็บได้เร็วเพราะว่าปลูกอยู่บนดอยที่มีสภาพอากาศที่เย็นตลอด

พันธุ์ใหม่ดีกว่าพันธุ์เดิม ตรงที่ รูปทรงดอก สีสัน และความคงทนของดอกที่มากขึ้น สามารถส่งออกต่างประเทศได้ ดีกว่าของเก่า

 

วว.17 หรือเรียกว่า TISTR Brick

มีการส่งเสริมให้กับเกษตรกรปลูกเบญจมาศอย่างไร

เกษตรกรที่จะเข้ามาซื้อพันธุ์ใหม่ไปปลูกได้นั้น ต้องเป็นสมาชิกของโครงการ

ถ้าสมัครสมาชิกก็จะมีการแนะนำวิธีการปลูก สอนเทคนิคการปรุงดินให้ทุกครั้งก่อนที่จะปลูก แต่ว่าเกษตรกร 1 คนสามารถซื้อได้แค่ 1 โรงเรือนเท่านั้น

โครงการหลวงขุนวาง

เกษตรกรต้องลงทุนเองทุกอย่าง เช่น 1 โรงเรือนใช้เวลาในการปลูก 3 เดือน เป็นเงิน 1,500 บาท รวมค่าไฟอีก 500 บาท เท่ากับ 3 เดือนต้องจ่าย 2,000 บาท ไม่เสียค่าน้ำ รายได้ของเกษตรกร 100,000 บาท ต่อปีจากการทำกับโครงการ

น้ำที่ใช้ต่อมาจากภูเขา ส่งต่อมาที่จุดพักน้ำแล้วนำมาทำการเกษตรต่อ เลยทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการหลวงขุนวางไม่ต้องเสียค่าน้ำในการทำเกษตร

จากการวิจัย สามารถนำสายพันธุ์เบญจมาศที่ผ่านการคัดเลือกไปปลูกเลี้ยง เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านไม้ดอกไม้ประดับ สำหรับจัดแจกันตกแต่งหรือจัดช่อดอกไม้ในงานต่างๆ และการปลูกเลี้ยงแบบไม้ดอกในกระถาง เพื่อใช้สำหรับตกแต่งในนิทรรศการต่างๆ นอกจากนี้ เทคนิคการใช้สารก่อกลายพันธุ์ (EMS) และการฉายรังสีแกมม่ายังสามารถช่วยในการปรับปรุงพันธุ์ ทำให้เกิดลักษณะที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิม เพื่อนำไปพัฒนาและถ่ายทอดแก่เกษตรกรปลูกเลี้ยงต่อไป

สอบถามรายละเอียดผลงานวิจัย ได้ที่ ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว. (ดร.อนันต์ พิริยะภัทรกิจ) โทร. (02) 577-9000 หรือ E-mail : [email protected] ในวันและเวลาราชการ